สาธารณรัฐแซมเบีย

สาธารณรัฐแซมเบีย

วันที่นำเข้าข้อมูล 26 ม.ค. 2555

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 9,827 view


สาธารณรัฐแซมเบีย
Republic of Zambia

ข้อมูลทั่วไป

ที่ตั้ง อยู่ทางตอนกลางของบริเวณแอฟริกาตอนใต้ ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทิศเหนือ ติดกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและแทนซาเนีย ทิศตะวันออกติดกับมาลาวีและโมซัมบิก ทิศใต้ติดกับซิมบับเว บอตสวานาและนามิเบีย ทิศตะวันตกติดกับแองโกลา

พื้นที่ 752,612 ตารางกิโลเมตร

เมืองหลวง กรุงลูซากา (Lusaka)

ประชากร 13.58 ล้านคน (ปี 2554)

ภูมิอากาศ เขตร้อน (tropical) และมีอากาศเย็นบริเวณที่ราบสูง

ภาษาราชการ อังกฤษ

ศาสนา ประชากรร้อยละ 50-75 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก นอกนั้นนับถือศาสนาอิสลาม  ฮินดู และความเชื่อต่างๆ

หน่วยเงินตรา    ควาชาแซมเบีย (Zambia Kwacha - ZMK)

อัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท เท่ากับ 165.86 ZMK  (ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2555)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 19.41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2554)

รายได้ประชาชาติต่อหัว 1,612.0 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2554)

การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 6.5 (ปี 2554)

ระบอบการปกครอง ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เป็นระบบสภาเดียว โดยมีประธานาธิบดีซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ดำรงตำแหน่งประมุขแห่งรัฐและผู้นำรัฐบาล ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี แต่ไม่เกิน 2 วาระ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือ นายรูเพีย บานดา (Rupiah Banda) (ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2551)

นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

การเมืองการปกครอง

แซมเบียปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ มีประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เป็นประมุขแห่งรัฐและผู้นำรัฐบาล ดำรงตำแหน่งวาระละ 5 ปี แต่ไม่เกิน 2 วาระ คณะรัฐมนตรีมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นระบบสภาเดียว ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 158 ที่นั่ง โดยมาจากการเลือกตั้ง 150 ที่นั่ง และอีก 8 ที่นั่งมาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี มีวาระ 5 ปี (เลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2449) ฝ่ายตุลาการประกอบด้วยศาลสูงสุดและศาลสูง

เมื่อประมาณสองพันปีก่อน ชนเผ่าที่พูดภาษาบันตูได้อพยพเข้ามาอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เป็นประเทศแซมเบียในปัจจุบัน ต่อมาในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 มิชชันนารีและพ่อค้าชาวยุโรปจึงได้เริ่มเดินทางเข้ามาบริเวณนี้ ในปี 2431 (ค.ศ.1888) นายเซซิล โรเดส (Cecil Rhodes) ซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลผลประโยชน์ทางการค้าและการเมืองของอังกฤษในภูมิภาคแอฟริกาตอนกลาง ได้รับสัมปทานการทำเหมืองแร่จากหัวหน้าเผ่าต่างๆ สัมปทานการทำเหมืองแร่เปิดทางให้อังกฤษเข้าไปมีอิทธิพลเหนือดินแดนโรดีเซียเหนือ (Northern Rhodesia) และโรดีเซียใต้ (Southern Rhodesia) ซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศแซมเบียและซิมบับเว

ในปี 2496 (ค.ศ.1953) อังกฤษได้รวมดินแดนโรดีเซียเหนือและใต้เข้ากับดินแดน นยาซาแลนด์ (Nyasaland) ซึ่งปัจจุบันคือ ประเทศมาลาวี และกลายเป็นสมาพันธรัฐโรดีเซียและนยาซาแลนด์ (the Federation of Rhodesia and Nyasaland) อย่างไรก็ดี ได้เกิดความวุ่นวายในดินแดนโรดีเซียเหนือเนื่องจากคนพื้นเมืองต้องการมีส่วนร่วมในรัฐบาลมากขึ้น ผลการเลือกตั้งในปี 2505 (ค.ศ.1962) ปรากฏว่า ชาวพื้นเมืองแอฟริกาได้รับเสียงข้างมากในสภานิติบัญญัติ ต่อมา สภานิติบัญญัติได้ผ่านมติเสนอให้ปลดปล่อยโรดีเซียเหนือจากสมาพันธรัฐโรดีเซียและนยาซาแลนด์ สมาพันธรัฐดังกล่าวได้สลายตัวลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2506 (ค.ศ.1963) ดินแดนโรดีเซียเหนือได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2507 (ค.ศ.1964) และกลายเป็นสาธารณรัฐแซมเบีย

ประธานาธิบดีเคนเนธ คาอุนดา (Kenneth Kaunda) ได้รับการยกย่องเป็นรัฐบุรุษผู้กอบกู้เอกราชของแซมเบีย ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดียาวนานตั้งแต่แซมเบียได้รับเอกราช จนถึงปี 2534 (ค.ศ.1991) ระบบการเมืองของแซมเบียแต่เดิมนั้น มีพรรค United National Independence Party (UNIP) เป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงพรรคเดียว แต่ต่อมา ด้วยสภาพความตกต่ำทางเศรษฐกิจและค่าครองชีพสูง ทำให้ความนิยมในประธานาธิบดีคาอุนดาเสื่อมลง เกิดการจลาจลในประเทศ และมีกลุ่มต่อต้านประธานาธิบดีพยายามทำรัฐประหารหลายครั้ง จนกระทั่งเมื่อเดือนธันวาคม 2533 (ค.ศ.1990) จึงได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรค และได้มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยในเดือนตุลาคม 2534 (ค.ศ.1991) ผลปรากฏว่า นายเฟดเดอริก ชิลูบา (Federick Chiluba) ผู้นำสหภาพแรงงานได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ และพรรค Movement for Multi-Party Democracy (MMD) ของนายชิลูบา สามารถครองที่นั่งส่วนใหญ่ในรัฐสภา นายชิลูบาชนะการเลือกตั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปี 2539 (ค.ศ.1996)

ในการเลือกตั้งปี 2544 (ค.ศ.2001) นายเลวี อึมวานาวาซา (Levy Mwanawasa) รองประธานาธิบดีในสมัยของประธานาธิบดีชิลูบา เป็นผู้แทนพรรค MMD เข้ารับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และชนะการเลือกตั้ง รัฐบาลของประธานาธิบดีอึมวานาวาซา ให้ความสำคัญกับการปราบปรามทุจริตและการประพฤติมิชอบในวงราชการ โดยใช้มาตรการปลดรัฐมนตรีที่ประพฤติผิดออกจากตำแหน่ง และให้การสนับสนุนคณะกรรมาธิการปราบปรามคอรัปชั่นในการดำเนินการปราบปรามทุจริตและคอรัปชั่นอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะ ได้พุ่งเป้าไปที่อดีตประธานาธิบดีชิลูบาและบุคคลใกล้ชิด นอกจากนี้ ประธานาธิบดีอึมวานาวาซายังได้ตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อสืบสวนและลงโทษข้าราชการที่ทุจริตในรัฐบาลก่อนหน้าด้วย ประธานาธิบดีอึมวานาวาซาได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ในปี 2549 (ค.ศ. 2006) โดยได้รับความชื่นชมจากนานาชาติในฐานะที่เป็นผู้นำที่มีนโยบายต่อต้านการทุจริตในวงราชการ และเป็นผู้วางรากฐานระบบเศรษฐกิจที่ดีให้แก่ประเทศแซมเบีย

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2551 ประธานาธิบดีอึมวานาวาซาได้ถึงแก่อสัญกรรมเนื่องจากหัวใจล้มเหลว ที่โรงพยาบาล Percy de Clamart กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส หลังจากล้มป่วยเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตก ระหว่างเข้าร่วมการประชุม African Union Summit ที่ประเทศอียิปต์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2551 รองประธานาธิบดีรูเพีย บันดา (Rupiah Banda) ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานาธิบดีอึมวานาวาซา จนถึงกำหนดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ภายหลังจากพิธีศพของประธานาธิบดีอึมวานาวาซาเสร็จสิ้นลง นายบันดาลงสมัครรับเลือกตั้งและชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2551 และสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน  2551

เศรษฐกิจและสังคม

ในช่วง 6 ปีแรกหลังจากที่ได้รับเอกราช แซมเบียเป็นประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ที่ร่ำรวยและมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วมากที่สุดประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะสามารถผลิตทองแดงได้ในปริมาณมาก อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของแซมเบียอยู่ในภาวะที่ไม่คงที่ เนื่องจากราคาทองแดงในตลาดโลกลดต่ำลงอย่างมาก ทำให้แซมเบียซึ่งส่งออกทองแดงเป็นสินค้าหลักได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ต้องพึ่งพาเงินกู้จากต่างประเทศ และเนื่องจากราคาทองแดงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง แซมเบียจึงประสบปัญหาไม่สามารถจ่ายชำระดอกเบี้ยและเงินกู้ได้ ทำให้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 แซมเบียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้ต่างประเทศต่อหัวมากที่สุดในโลก

รัฐบาลปัจจุบันมีเป้าหมายลดความยากจนและส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้คำมั่นสัญญาที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจัดว่าเป็นประเทศยากจนมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก โดยรัฐบาลพยายามใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพ ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ปรับลดจำนวนตำแหน่งรัฐมนตรี ควบคุมการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการไม่ให้สูงกว่าอัตราการขยายตัวของ GDP และจะทุ่มเทงบประมาณในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการลดความยากจน อาทิ โครงการเกี่ยวกับการศึกษา และการสาธารณสุข รวมถึงการต่อสู้กับโรคเอดส์ นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจะลดการพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมการผลิตทองแดงเพียงอย่างเดียว โดยพยายามส่งเสริมภาคการเกษตร การท่องเที่ยว การทำเหมืองอัญมณี และพลังงานไฟฟ้า

รัฐบาลมีนโยบายปรับปรุงและเพิ่มผลผลิตการเกษตร เพื่อทำให้แซมเบียมีผลผลิตข้าวโพดเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งนโยบายนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากหน่วยงานของประชาคมเพื่อการพัฒนาแห่งอนุภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ (Southern African Development Community – SADC) และเห็นว่า นโยบายดังกล่าวจะมีส่วนช่วยให้แซมเบียพัฒนาเป็นแหล่งอาหารในกลุ่มประเทศสมาชิก SADC เนื่องจากแซมเบียมีดินที่อุดมสมบูรณ์ และมีปริมาณน้ำฝนเพียงพอต่อการเพาะปลูก

แซมเบียมีอัตราผู้ติดเชื้อโรคเอดส์สูง โดยมีชาวแซมเบียในวัยผู้ใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อในอัตรา 1 ต่อ 5 คน และในแต่ละวัน มีชาวแซมเบียเสียชีวิตด้วยโรคเอดส์จำนวนประมาณ 200 ราย จึงทำให้มีการคาดการณ์ว่า ช่วงอายุของชาวแซมเบียจะลดลงจาก 46 ปีเป็น 37 ปี ภายในช่วง 1 ทศวรรษต่อจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าปัญหานี้เป็นความหายนะของชาติและต้องได้รับการแก้ไข โดยมุ่งให้ผู้ป่วยโรคเอดส์มียารักษาโรคในราคาถูก และปลุกจิตสำนึกของประชาชนให้รับรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคเอดส์  ในปัจจุบัน แซมเบียยังไม่มีโครงการจัดสรรยาต่อต้านไวรัสเอดส์เพื่อยืดอายุผู้ป่วยโรคเอดส์ 

นโยบายต่างประเทศ

แซมเบียให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและรักษาสันติภาพในภูมิภาคแอฟริกา มีบทบาทสำคัญในการเจรจาสันติภาพในอังโกลา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และได้ส่งทหารเข้าร่วมกองกำลังรักษาสันติภาพของสหภาพแอฟริกาในโมซัมบิก รวันดา แองโกลา และเซียร์ราลีโอน

แซมเบียร่วมโครงการ Highly Indebted Poor Countries Initiative (HIPCI) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2548 ที่ประชุมระดับรัฐมนตรีคลังของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำหรือ G8 ได้แสดงความพร้อมที่จะปลดหนี้ต่างประเทศของประเทศยากจนที่มีหนี้สินสูง (Highly-Indebted Poor Countries: HIPC) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกา ตามโครงการ HIPCI ของธนาคารโลกและ IMF โดยเป็นการยกเลิกหนี้ต่างประเทศทั้งหมดของประเทศที่เข้าข่ายได้รับการยกเลิกหนี้สิน และที่ยอมรับแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ มีธรรมาภิบาล มีการปราบปรามการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง สนับสนุนประชาธิปไตยและหลักกฎหมาย โดยมี 38 ประเทศที่อยู่ในโครงการยกเลิกหนี้สินนี้ และแซมเบียเป็น 1 ใน 18 ประเทศที่เข้าข่ายจะได้รับการยกเลิกหนี้สินทันที

ความสัมพันธ์กับประเทศไทย

ความสัมพันธ์ทั่วไป

การทูต

ไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับแซมเบียเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2530 (ค.ศ.1987) ฝ่ายไทยมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย มีเขตอาณาครอบคลุมแซมเบีย เอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐแซมเบียคนปัจจุบันคือ นายนนทศิริ บุรณศิริ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงพริทอเรีย ฝ่ายแซมเบียมอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแซมเบียประจำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน มีเขตอาณาครอบคลุมประเทศไทย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแซมเบียประจำประเทศไทยคนปัจจุบันคือ นายลูพันโด ออกัสติน เฟสตัส คาโทโลซี อึมวาพี (Lupando Augustine Festus Katoloshi Mwape) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง

ความสัมพันธ์ด้านการเมือง

ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-แซมเบียราบรื่น ไม่มีปัญหาระหว่างกัน แต่ยังค่อนข้างห่างเหิน ไม่ค่อยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง แซมเบียให้การสนับสนุนไทยในเวทีระหว่างประเทศเสมอมา และที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศมีท่าทีในเวทีระหว่างประเทศที่สอดคล้องกัน แซมเบียมีความชื่นชมการพัฒนาด้านการเกษตรแบบยั่งยืน และการต่อสู้กับปัญหาการแพร่กระจาย  ของเชื้อเอชไอวีและเอดส์ของไทย โดยต้องการใช้ไทยเป็นแบบอย่างในการเรียนรู้ ซึ่งฝ่ายไทยพร้อมที่จะให้ความร่วมมือทางวิชาการกับแซมเบียอย่างเต็มที่ฉันท์มิตรประเทศ ที่ผ่านมา สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร) กระทรวงการต่างประเทศ ได้จัดทุนการฝึกอบรมด้านสาธารณสุขประจำปีแก่รัฐบาลแซมเบียอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังมีความร่วมมือแบบไตรภาคีกับรัฐบาลญี่ปุ่น ในโครงการส่งเสริมการพัฒนาเกษตรกรรม ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร และการพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรแก่แซมเบียอีกด้วย

เศรษฐกิจ

การค้า

แซมเบียเป็นคู่ค้าและแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญของไทยประเทศหนึ่งในทวีปแอฟริกา ไทยนำเข้าวัตถุดิบประเภทสินแร่โลหะและเศษโลหะจากแซมเบียเป็นมูลค่าหลายพันล้านบาทต่อปี ในปี 2553 มูลค่าการค้าระหว่างไทย-แซมเบีย มีมูลค่า 54.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออกเป็นมูลค่า 7.80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 46.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยขาดดุลการค้า 38.71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปแซมเบีย อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เคหะสิ่งทอ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ เครื่องนุ่งห่ม ประทีปโคมไฟ เม็ดพลาสติก เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง เคมีภัณฑ์ เป็นต้น สำหรับสินค้าที่ไทยนำเข้าจากแซมเบีย ได้แก่ สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ด้ายและเส้นใย

การลงทุน

นักธุรกิจไทยยังเข้าไปลงทุนในแซมเบียน้อยมากและจำกัดอยู่แค่เฉพาะธุรกิจร้านอาหารเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ เนื่องจากแซมเบียยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักธุรกิจไทย อีกทั้งระบบการบริหารจัดการภายในของแซมเบียในการจัดเก็บภาษีและการส่งเสริมการลงทุนยังขาดมาตรฐานและไม่มีความเป็นสากล จึงไม่ค่อยได้รับความเชื่อถือจากนักลงทุนไทย อย่างไรก็ตาม แซมเบียมีศักยภาพเป็นแหล่งวัตถุดิบ แร่ทองแดง อัญมณีและทรัพยากรไม้ และเป็นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคราคาถูกของไทย

การท่องเที่ยว

ในปี 2554 มีชาวแซมเบียเดินทางมาไทย 1,439 คน และมีคนไทยอยู่ในแซมเบียประมาณ 10 คน ที่ประกอบธุรกิจร้านอาหารและเป็นคู่สมรสกับชาวแซมเบียและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในแซมเบีย

ความตกลงที่สำคัญๆ กับไทย

ความตกลงที่ได้ลงนามไปแล้ว

ความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศ (ลงนามย่อเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2534) ความตกลงที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา

ความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ (อยู่ระหว่างการพิจารณาของฝ่ายแซมเบีย)

การเยือนที่สำคัญ

ฝ่ายไทย

พระราชวงศ์

นายกรัฐมนตรี / คณะรัฐมนตรี / เจ้าหน้าที่ระดับสูง

ฝ่ายแซมเบีย

ประธานาธิบดี / คณะรัฐมนตรี / เจ้าหน้าที่ระดับสูง

- เดือนเมษายน 2544 นายเคนเนธ คาอุนดา (Kenneth Kaunda) อดีตประธานาธิบดีแซมเบีย เดินทางมาเป็นผู้กล่าว Keynote address ในหัวข้อ HIV/AIDS ต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรี ESCAP สมัยที่ 57 ที่กรุงเทพฯ

- วันที่ 15 -18 ตุลาคม 2545 นายไบรอัน ชิตูโว (Dr. Brian Chituwo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแซมเบีย เดินทางเยือนไทย

- เดือนกรกฎาคม 2547 นางมอรีน อึมวานาวาซา (Maureen Mwanawasa) ภริยาประธานาธิบดีแซมเบียเข้าร่วมการประชุมเอดส์โลก ครั้งที่ 15 ที่กรุงเทพฯ

- วันที่ 4 มีนาคม 2553 นายรูเพีย บันดา (Rupiah Banda) ประธานาธิบดีแซมเบีย เดินทางแวะผ่านไทย

- วันที่ 27 มีนาคม – 1 เมษายน 2553 นางลูซี ชางเว (Lucy S. Changwe) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เยือนไทยเพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union – IPU) ครั้งที่ 122 ที่กรุงเทพฯ

************************

มิถุนายน 2555

กองแอฟริกา กรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา โทร. 0-2643-5047-48

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ