คำกล่าว โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC)

คำกล่าว โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC)

วันที่นำเข้าข้อมูล 27 ส.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 27 ส.ค. 2568

| 136 view

- คำแปล -

คำกล่าว

โดยนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ในการประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบ

อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC)

วันที่ 27 สิงหาคม 2568 เวลา 16.15 น. ณ สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา

 

ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพ

 

สวัสดีตอนบ่ายครับ

 

ขอขอบคุณที่ให้ผมมาเข้าร่วมการประชุมที่นครเจนีวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้านมนุษยธรรมของโลก และเป็นที่ตั้งถาวรของสำนักงานอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในนาม “อนุสัญญาออตตาวา”

 

ในวันนี้ เมื่อผมเดินทางเข้าสู่สำนักงานสหประชาชาติ นครเจนีวา ได้ผ่านประติมากรรมเก้าอี้หัก (Broken Chair) ซึ่งย้ำเตือนผมว่า อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมิใช่เป็นเพียงสนธิสัญญาเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงร่วมกันของมนุษยชาติที่จะยุติความทุกข์ทรมานจากหนึ่งในอาวุธที่ไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้น

 

อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและการลดอาวุธ แต่เพื่อให้ความสำเร็จนี้คงอยู่ต่อไปได้ คุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจะต้องได้รับการพิทักษ์และปฏิบัติตามอย่างจริงใจ

 

ท่านผู้มีเกียรติ

 

ในฐานะประเทศที่มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าและสนับสนุนการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมอย่างแข็งขัน ประเทศไทยมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

 

ดังที่ท่านทราบ ประเทศไทยได้แสดงบทบาทที่แข็งขันภายใต้กรอบของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมาโดยตลอด เพื่อรักษาชีวิต ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในการฟื้นฟูและกลับคืนสู่สังคม และเราจะยังคงมีบทบาทที่แข็งขันต่อไปภายใต้กรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

 

จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ทำการกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่าร้อยละ 99 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร เปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” และฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนของเรา

 

ความพยายามดังกล่าวได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงจากประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ในการแสดงปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งได้ชื่นชมประเทศไทยที่สามารถ “ลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดจาก 350 รายในช่วงปี 2542-2543 เหลือเพียง 24 รายในปี 2554”

 

และในปี 2567 ไม่พบผู้เสียชีวิตจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดเพียง 3 ราย

 

ประเทศไทยได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนของเรากับมาเลเซีย เมียนมา และ สปป.ลาว แล้ว โดยพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดที่เหลืออยู่ประมาณ 12.8 ตารางกิโลเมตร อยู่ตามแนวชายแดนกับกัมพูชา

 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทยได้พยายามผลักดันความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกับกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

 

ท่านผู้มีเกียรติ

 

เป็นเรื่องน่าเสียใจที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบันตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประเทศไทยไม่เคยต้องการให้เกิดขึ้นและไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว

 

เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม เมื่อทหารไทยสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามปกติ ในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี

 

ต่อมา มีการค้นพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมใกล้จุดเกิดเหตุ โดยมีเครื่องหมายโรงงานชัดเจนและไม่พบวัชพืชหรือรากไม้ แสดงให้เห็นว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ และเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่าทุ่นระเบิดทั้งหมดนี้เพิ่งถูกวางเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทุ่นระเบิดเหล่านี้คือทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ซึ่งเป็นอาวุธที่กัมพูชามีไว้ในครอบครองตามรายงานความโปร่งใส (Transparency Report) ของกัมพูชาเอง ขณะที่ประเทศไทยไม่มีทุ่นระเบิดไม่ว่าประเภทใดอยู่ในครอบครองแล้ว

 

ในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เกิดเหตุการณ์อีกครั้ง ผมจำได้อย่างชัดเจนว่าขณะนั้นผมอยู่ที่นครนิวยอร์ก และกำลังจะเข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติ

 

ผมได้แจ้งให้เลขาธิการสหประชาชาติทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งไทยประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา พร้อมอธิบายถึงมาตรการสันติวิธีที่ประเทศไทยดำเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้

 

จุดเปลี่ยนของสถานการณ์เกิดขึ้นในวันถัดมา คือวันที่ 24 กรกฎาคม เมื่อกัมพูชาได้โจมตีข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทย บริเวณพื้นที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตามมาด้วยการโจมตีด้วยอาวุธหนัก ซึ่งรวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนพลเรือนของไทย โดยโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล และร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต รวมถึงเด็ก

 

ประเทศไทยได้โต้ตอบด้วยการป้องกันตนเองตามความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้ขอบเขตที่จำกัดและมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด โดยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่

 

การโจมตียังคงดำเนินต่อไป แม้หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ณ เมืองปุตราจายา โดยการอำนวยความสะดวกของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน – ข้อตกลงซึ่งกัมพูชาได้ละเมิด

 

ต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือกันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยวิสามัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ตกลงการหยุดยิงที่ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท รวมถึงทุ่นระเบิด ซึ่งประเทศไทยเคารพข้อตกลงนี้และมุ่งมั่นปฏิบัติตามอย่างเต็มที่

 

อย่างไรก็ดี ภายในเวลาไม่ถึงห้าวันหลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมสามครั้ง ในวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม และครั้งล่าสุดคือเมื่อบ่ายวันนี้

 

จนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเหล่านี้ทำให้ทหารไทยทุพพลภาพถาวร จำนวน 6 นาย นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่เพิ่งวางใหม่และที่ยังไม่ถูกใช้งาน พร้อมหลักฐานว่าทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนในการวางทุ่นระเบิดประเภทดังกล่าว ซึ่งชี้ชัดว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกนำมาวางโดยกัมพูชา

 

การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รวมถึงละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน

 

การกระทำดังกล่าวยังเป็นการบ่อนทำลายเจตนารมณ์ของปฏิญญาและแผนปฏิบัติการเสียมราฐ–อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้การเป็นประธานของกัมพูชาเอง และถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงซึ่งเป็นรากฐานของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

 

ประชาคมระหว่างประเทศได้บรรลุความก้าวหน้าอย่างมากในความพยายามร่วมกันที่จะแก้ไขผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากทุ่นระเบิด และเหตุการณ์เหล่านี้ถือเป็นการคุกคามความก้าวหน้าที่เราได้ร่วมกันสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก

 

นี่คือเหตุผลที่ประเทศไทยตัดสินใจดำเนินการเรื่องนี้ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล โดยไทยได้แจ้งประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ครั้งที่ 22 เพื่อให้ประเด็นนี้ได้รับการพิจารณาด้วยจิตวิญญาณแห่งการปรึกษาหารือและความร่วมมือ ภายใต้ข้อ 8 วรรค 1 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ยื่นคำร้องเพื่อขอรับความชัดเจนจากกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ ตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลด้วย

 

ผมขอย้ำว่าการขอรับความชัดเจนจากกัมพูชาของประเทศไทยมีหลักฐานที่หนักแน่นรองรับ

 

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำกัมพูชากลับสู่การปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างสมบูรณ์ ผมขอย้ำคำเรียกร้องต่อท่านผู้มีเกียรติและผู้เข้าร่วมการประชุมในวันนี้ในการดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างเคร่งครัด

 

ในขณะที่ประเทศไทยดำเนินการภายใต้กลไกของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ความพยายามในระดับทวิภาคียังคงดำเนินควบคู่กันไปเพื่อแก้ไขปัญหานี้ผ่านกลไกที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปและการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค

 

ซึ่งมีพัฒนาการเชิงบวกในประเด็นนี้

 

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค สมัยวิสามัญ กัมพูชาได้เห็นพ้องในหลักการที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม โดยรายละเอียดของความร่วมมือดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปในเดือนหน้า

 

ประเทศไทยหวังว่าความร่วมมือนี้จะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อฟื้นฟูสันติภาพ เก็บกู้ทุ่นระเบิด และขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมในการสร้างแนวชายแดนที่ปราศจากทุ่นระเบิด

 

อย่างไรก็ดี เพื่อให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและอย่างจริงใจ กัมพูชาจะต้องไม่ขัดขวางการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว 16 ครั้งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่กัมพูชาต้องไม่วางทุ่นระเบิดใหม่

 

และเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่กัมพูชาจะต้องไม่กระทำอื่นใดที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย รวมถึงการใช้สตรีและเด็กเพื่อบุกรุกเข้ามาในดินแดนไทย

 

ท่านผู้มีเกียรติ

 

ประเทศไทยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีผู้ใดควรต้องทนทุกข์ทรมานจากอาวุธที่ไร้มนุษยธรรมนี้ และประเทศไทยจะยังคงยึดมั่นในหลักการมนุษยธรรมซึ่งเป็นหัวใจของอนุสัญญาฉบับนี้ต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงรู้สึกยินดีที่จะแจ้งให้ทราบในวันนี้ว่า ประเทศไทยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดของเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันของเราเพื่อสนับสนุนให้ทุกประเทศทั่วโลกเข้าร่วมและปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างครบถ้วน

 

การเข้าร่วมโครงการนี้ของประเทศไทยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานของไทยต่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตลอดจนย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ต่อเนื่องของประเทศไทยต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

 

ประเทศไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อส่งเสริมการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดผ่านโครงการนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรักษาชีวิต ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ปกป้องสิทธิมนุษยชน และขับเคลื่อนการพัฒนาและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและชุมชนของเรา

 

ประเทศไทยพร้อมทำงานร่วมกับสหประชาชาติและทุกหุ้นส่วนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งคือ การบรรลุโลกที่ปราศจากทุ่นระเบิดเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต

 

ดังที่ Jody Williams ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ก่อตั้งการรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด ได้กล่าวไว้ว่า “ทุ่นระเบิดไม่สามารถหยุดการรุกรานได้ ทุ่นระเบิดไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของสงครามได้ สิ่งที่ทุ่นระเบิดทำได้มีเพียงทำร้ายหรือพรากชีวิตประชาชนของตนเองเท่านั้น”

 

ถึงเวลาแล้วที่อาวุธที่ไร้มนุษยธรรมเหล่านี้ต้องถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์และไม่ถูกนำกลับมาใช้อีก เพื่อความปลอดภัย ศักดิ์ศรี และอนาคตของทุกคน รวมถึงเพื่อปกป้องและธำรงไว้ซึ่งคุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

 

ขอบคุณครับ