คำแปลการบรรยายสรุปต่อคณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์การประเทศ เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ

คำแปลการบรรยายสรุปต่อคณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์การประเทศ เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ

วันที่นำเข้าข้อมูล 5 ส.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 ส.ค. 2568

| 36 view

- คำแปล -
การบรรยายสรุปต่อคณะทูตานุทูตและผู้แทนองค์การประเทศ
เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม  อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ
วันที่ 4 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. ห้องประชุมนราธิป

 

ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

 

  1. ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้กล่าวในที่ประชุมสำคัญนี้อีกครั้ง

  2. วันนี้ ดิฉันขอนำเสนอข้อมูลที่สมบูรณ์และถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชาในบริบทของสหประชาชาติ และการดำเนินการของไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ดังนี้

  3. ประการที่ 1 การโจมตีทางอาวุธอย่างไม่เลือกเป้าหมายต่อพลเรือนและโครงสร้างทางพลเรือน
    โดยกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
  • เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 การโจมตีด้วยปืนใหญ่โดยฝ่ายกัมพูชาต่อโรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ที่ตั้งอยู่ห่างจากแนวชายแดนเข้ามาในฝั่งไทยประมาณ 10 กิโลเมตร และการกระทำที่เป็นการรุกราน โดยไม่เลือกเป้าหมายและขัดต่อกฎหมาย ต่อพลเรือนชาวไทยและโครงสร้างทางพลเรือน ได้ส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 17 ราย และบาดเจ็บ 55 ราย นอกจากนี้ สถานพยาบาล 137 แห่งใน 7 จังหวัด (อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ตราด สระแก้ว และจันทบุรี) ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการโจมตี โดย 11 แห่ง ต้องงดการให้บริการบางส่วน และอีก 126 แห่งต้องหยุดให้บริการ ดิฉันเชื่อว่า หลายท่านคงได้ไปรับทราบข้อเท็จจริงจากการลงพื้นที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาด้วยแล้ว
  • การกระทำที่เป็นการรุกรานโดยกัมพูชาเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยอย่างร้ายแรงและเด่นชัดที่สุด รวมถึงเป็นการละเมิดข้อ 2 (4) ของกฎบัตรสหประชาชาติและกฎหมาย สิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมระหว่างประเทศตามที่บัญญัติไว้ในอนุสัญญาเจนีวาปี ค.ศ. 1949
  • ในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว ทั้งไทยและกัมพูชามีพันธกรณีที่จะต้องยึดถือและงดเว้นการกระทำที่เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • การโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชาต่อพลเรือน โครงสร้างทางพลเรือน และสาธารณูปโภค โดยเฉพาะสถานพยาบาล เป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 อย่างชัดเจนและร้ายแรง รวมถึงข้อ 19 ของอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 ว่าด้วยการคุ้มครองหน่วยและสถานที่ทางการแพทย์ และข้อ 18 ของอนุสัญญา เจนีวา ฉบับที่ 4 ว่าด้วยการคุ้มครองโรงพยาบาลของพลเรือน และข้อบทอื่น ๆ
  • การโจมตีดังกล่าวยังเป็นการละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศตามที่บัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights - UDHR) และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights - ICCPR)
  • การอพยพประชาชนกว่า 132,000 คนออกจากบ้านเรือน และการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยกว่า 300 คน ซึ่งทำให้การรักษาและการเข้าถึงการดูแลที่จำเป็นของพวกเขาต้องหยุดชะงักลง เป็นผลจากการละเมิดกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights - ICESCR) ของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งครอบคลุมถึงสิทธิในมาตรฐานความเป็นอยู่ที่เพียงพอ รวมทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่ม และสิทธิในสุขภาพกายและสุขภาพจิต
  • เราเสียใจกับการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย และความล้มเหลวของกัมพูชาในการยึดถือและเคารพอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child - CRC) และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ (Convention on the Rights of Persons with Disabilities - CRPD) ด้วย
  • การโจมตีของกัมพูชาได้คร่าชีวิตเด็กจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงการศึกษาในโรงเรียน ซึ่งกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของการประกันการคุ้มครองและการดูแลเด็ก รวมถึงเด็กพิการ ที่ได้รับผลกระทบจากการขัดกันทางอาวุธ และ สิทธิในการได้รับการศึกษา

 

  1. ประการที่ 2 เกี่ยวกับการละเมิดพันธกรณีของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention – APMBC) (อนุสัญญาออตตาวา)
  • ไทยประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิด ซึ่งถือเป็นการละเมิดอย่างชัดเจนต่ออนุสัญญาออตตาวา ที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างเป็นภาคี
  • เพื่อเป็นการตอบสนองต่อเหตุการณ์ในวันที่ 16 และ 23 กรกฎาคม 2568 ซึ่งกำลังพลทหารไทย
    เหยียบทุ่นระเบิดที่มีการวางใหม่ขณะปฏิบัติการลาดตระเวนตามปกติในดินแดนไทย ไทยส่งหนังสืออย่างเป็นทางการจำนวน 2 ฉบับ ถึงประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 เพื่อแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการละเมิดของกัมพูชาต่อพันธกรณีตามข้อ 1 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งห้ามการใช้ และสะสมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
  • ไทยได้ส่งหนังสืออีกหนึ่งฉบับถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อขอรับคำชี้แจงจากฝ่ายกัมพูชา
    ตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ ซึ่งระบุว่า รัฐภาคีอาจขอรับคำชี้แจงเพื่อการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามบทบัญญัติของอนุสัญญาฯ โดยรัฐภาคีอื่น ผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งกัมพูชามีพันธกรณีที่ต้องตอบสนองต่อคำขอดังกล่าว
  • จนถึงขณะนี้ พลเรือนและพลทหารนับร้อยรายยังคงได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่กำลังดำเนินอยู่ รวมทั้งการบาดเจ็บทางกายภาพจากการใช้ทุ่นระเบิดอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งหลายรายจะได้รับบาดเจ็บและ ทุพพลภาพถาวร

 

  1. ประการที่ 3 เกี่ยวกับการปฏิบัติต่อแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานชาวกัมพูชาในประเทศไทย
  • ไทยยืนยันความมุ่งมั่นในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของแรงงานทุกคนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน และพันธกรณีที่เกี่ยวข้องภายใต้อนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization - ILO) ที่ประกันการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรมและการมีงานที่มีคุณค่าสำหรับแรงงานทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติทั้งเรื่องเพศ อายุ ความพิการ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา และสถานะ
  • ไทยขอย้ำว่า ไม่ปรากฏหลักฐานของการละเมิดและคุกคามแรงงานโยกย้ายถิ่นฐานอย่างเป็นระบบ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยพร้อมรับข้อร้องเรียนที่มีหลักฐานการกระทำความผิดผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงสายด่วนของกระทรวงแรงงานและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
  • ในหนังสือลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ถึงองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิแรงงาน และความพร้อมของไทยที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ต่อไปเพื่อประกันให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการทำงานสำหรับแรงงานทุกคน รวมถึงแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน ในประเทศไทย

  1. ประการที่ 4 เกี่ยวกับบริเวณโดยรอบและโครงสร้างของปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก
  • เราขอยืนยันอีกครั้งว่า การปะทะระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชาไม่ได้เกิดขึ้นใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยพื้นที่ปะทะที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่บริเวณภูมะเขือ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร และอยู่นอกแนววิถีกระสุนของปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายไทยโดยสิ้นเชิง ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่กระสุนหรือสะเก็ดระเบิดจากการปะทะที่บริเวณภูมะเขือจะสร้างความเสียหายต่อปราสาทพระวิหาร
  • ในทางกลับกัน การโจมตีของฝ่ายกัมพูชาต่อดินแดนของไทยที่บริเวณปราสาทโดนตวล จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม และบริเวณปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ได้สร้างความเสียหายต่อโบราณสถานดังกล่าว ซึ่งการกระทำดังกล่าวของกัมพูชาเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1954 ว่าด้วยการคุ้มครองทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในกรณีขัดกันด้วยอาวุธ และพิธีสารเพิ่มเติม ค.ศ. 1999 ซึ่งกัมพูชาเป็นรัฐภาคี
  • เพื่อตอบโต้การเผยแพร่ข้อมูลเท็จของกัมพูชา ไทยได้ส่งแถลงการณ์และหนังสือถึงสำนักเลขาธิการของยูเนสโก และเวียนแจ้งต่อคณะผู้แทนถาวรของรัฐสมาชิกยูเนสโกที่กรุงปารีส เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ และย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ของไทยที่จะคุ้มครองและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ตามอนุสัญญาและพันธกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง

  1. ประการสุดท้าย ดิฉันขอกล่าวถึงการปฏิบัติต่อทหารกัมพูชาที่อยู่ในการควบคุมตัว ดังนี้
  • ทหารกัมพูชาทั้ง 20 นายที่อยู่ในการควบคุมตัวได้รับการดูแลโดยทางการไทยโดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ
  • การควบคุมตัวทหารกัมพูชาจำนวน 20 นายเกิดขึ้นระหว่างการสู้รบอีกครั้ง ที่ริเริ่มโดยฝ่ายกัมพูชา อันเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง การดำเนินการควบคุมตัวดังกล่าวสอดคล้องกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และไม่เป็นการละเมิดการหยุดยิงหรือกฎหมายระหว่างประเทศแต่อย่างใด
  • เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เชลยศึก 2 นาย ซึ่งหนึ่งรายได้รับบาดเจ็บและอีกรายป่วยด้วยสภาวะจิตเวช ได้รับการส่งตัวกลับไปยังฝ่ายกัมพูชาแล้ว โดยการส่งตัวกลับดังกล่าวเป็นไปตามหลักมนุษยธรรมที่ระบุในอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1949 และกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติด้านมนุษยธรรมที่มีมาโดยตลอดของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross - ICRC)
  • การบาดเจ็บของทหารกัมพูชา 1 รายข้างต้น ซึ่งมีแผลที่แขน เกิดขึ้นระหว่างการสู้รบ และไม่ได้เกิดจากการทรมานโดยทางการไทยตามที่มีการกล่าวหา ทั้งนี้ ทางการไทยได้ตรวจร่างกายและให้การดูแลรักษาเบื้องต้นแก่บุคคลทั้งสองรายดังกล่าว กล่าวคือ รายที่ได้รับบาดเจ็บที่แขน และรายที่มีอาการทางจิตเวชจาก การสู้รบ โดยทางการไทยได้บันทึกผลการตรวจทางการแพทย์อย่างเป็นระบบเพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิง
  • ไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริง และในโอกาสนี้ ไทยได้เชิญผู้แทนจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the High Commissioner for Human Rights - OHCHR) เข้าเยี่ยมทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวด้วยแล้ว
  • ล่าสุด กองทัพบกและกระทรวงการต่างประเทศได้จัดให้คณะผู้แทนจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เข้าเยี่ยมเชลยศึกชาวกัมพูชาในวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ที่จังหวัดสุรินทร์

 

ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

  1. สืบเนื่องจากการรุกรานและการโจมตีทางอาวุธอย่างต่อเนื่องโดยปราศจากการยั่วยุและมีการวางแผนล่วงหน้าของกัมพูชา ไทยได้เข้าร่วมการประชุมแบบปิดของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งจัดขึ้นโดยการเป็นคนกลางในการประสานงานของปากีสถาน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประจำเดือนกรกฎาคม เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริง โต้แย้งข้อมูลบิดเบือน และยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของไทยในการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีด้วยความสุจริตใจ โดยเป็นไปตามหลักการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับรัฐเพื่อนบ้าน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของอาเซียน และการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเต็มที่ ไทยปฏิเสธคำอธิบายที่เป็นเท็จที่นำเสนอโดยผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ และขอขอบคุณสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงฯ สำหรับความเข้าใจและการสนับสนุนต่อไทย

  2. สืบเนื่องจากแถลงการณ์ของโฆษกของเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ไทยได้ยื่นจดหมายถึงเลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงของกัมพูชา และผลกระทบอย่างรุนแรงจากการโจมตีของกัมพูชาต่อชีวิตพลเรือน รวมถึงผู้หญิงและเด็ก ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือนและสาธารณูปโภค โดยเฉพาะโรงพยาบาล

  3. หลังจากนั้น ไทยได้ยื่นจดหมายอีกหนึ่งฉบับถึงเลขาธิการสหประชาชาติเพื่อแจ้งให้ทราบถึงการที่กัมพูชายังคงการสู้รบตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการละเมิดการตกลงหยุดยิงที่ตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ทำให้ไทยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดำเนินการเพื่อป้องกันตนเอง

 

ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

  1. ไทยขอย้ำความสำคัญของข้อ 33 ของกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งระบุถึงแนวทางการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธีที่หลากหลาย การดำเนินการของไทยในกรอบพหุภาคีต่าง ๆ ตามที่กล่าวไปข้างต้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ของไทยในระบอบพหุภาคีที่ตั้งอยู่บนหลักนิติธรรม ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับระบบระหว่างประเทศที่รัฐต่าง ๆ สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติและทำงานด้วยกันเพื่อจัดการกับความท้าทายที่มีร่วมกัน

  2. ในการนี้ ไทยเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันเรียกร้องให้กัมพูชายุติการสู้รบทั้งหมดในทันที หยุดการแพร่กระจายข้อมูลที่บิดเบือน ปฏิบัติตามพันธกรณีของการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้ และกลับสู่เส้นทางการระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธีผ่านการหารือทวิภาคีด้วยความสุจริตใจ

 

ขอขอบคุณ