การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงเทพฯ

การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ระหว่างวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงเทพฯ

วันที่นำเข้าข้อมูล 15 มิ.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 15 มิ.ย. 2568

| 160 view

เมื่อวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2568 กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ที่กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” โดยมีเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ อุปทูต และรักษาการกงสุลใหญ่ เข้าร่วมจำนวน 100 คน จาก 98 สำนักงาน และสมาชิกทีมประเทศไทยที่ประจำการในต่างประเทศเข้าร่วมผ่านระบบการประชุมทางไกล

กระทรวงการต่างประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เพื่อรับพระราชทานพระบรมราโชวาทในการเจริญไมตรีกับมิตรประเทศ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้

การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกในครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากบริบทระหว่างประเทศอยู่ในจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในเชิงโครงสร้างและระเบียบโลกจากการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องปรับกระบวนทัศน์ของนโยบายต่างประเทศ และปรับกระบวนยุทธ์ของทีมประเทศไทยให้สอดคล้องกับทิศทางของโลกและนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภาว่า จะดำเนินเศรษฐกิจเชิงรุก และการทูตเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เพื่อให้ไทยสามารถยืนหยัดและได้รับประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงนี้

โดยในพิธีเปิดการประชุมฯ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้มอบโจทย์ (ผ่านบันทึกวีดิทัศน์) ให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ระดมสมอง เพื่อปรับยุทธศาสตร์การต่างประเทศโดยคำนึงถึงความท้าทาย โอกาสและจุดแข็งของไทย เพื่อนำพาประเทศไปอยู่ในตำแหน่งที่ได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้โครงสร้างอำนาจและระเบียบโลกใหม่

ในระหว่างการประชุมฯ เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและความเห็น โดยเฉพาะในประเด็นนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐบาล กับผู้กำหนดนโยบาย หน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายนาวา จันทนสุรคนรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ในด้านการปรับกระบวนทัศน์นโยบายต่างประเทศ ที่ประชุมเห็นควรให้ใช้ยุทธศาสตร์ลดและกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geo-Strategic De-risking and Multiple Alignment) ในการรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และแสวงหามิตรที่ใกล้ชิดใหม่ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ และเห็นควรให้เสริมสร้าง “คุณค่าเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic value) ผ่าน Modern Soft Power ในการดำเนินความสัมพันธ์กับทุกประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยเป็น “มิตรที่ขาดไม่ได้” (Indispensable partner) นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนการทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy) ในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ผ่านการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของอาเซียน

เพื่อรับมือกับสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ ที่ประชุมเห็นควรให้ดำเนินการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกที่เน้นการส่งเสริมการส่งออก และการดึงดูดนักท่องเที่ยว การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และกลุ่ม Talent และกลุ่ม Wealth จากทั่วโลก ขณะเดียวกัน จะ Join the Right Conversation โดยเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการเร่งรัดการเจรจา FTA เพิ่มปฏิสัมพันธ์กับ OECD และ BRICS ผลักดันการเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ ดึงดูดการลงทุนในนวัตกรรมเกี่ยวกับพลังงานสะอาดและการลดคาร์บอน และเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดระเบียบด้านเศรษฐกิจใหม่ อาทิ เศรษฐกิจดิจิทัล ธรรมาภิบาลและจริยธรรมในการใช้ AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในด้านการปรับกระบวนยุทธ์ของทีมประเทศไทย ที่ประชุมเห็นว่า เอกภาพในการขับเคลื่อนการต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และตั้งเป้าเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกทีมประเทศไทยและสร้างพลังการขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชน

ในพิธีปิดการประชุมฯ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ผู้แทนเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ได้รายงานผลการจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ในประเด็นสำคัญต่อนายกรัฐมนตรี ได้แก่

1. แผนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจไทยภายใต้บริบทสงครามการค้าสหรัฐ - จีน โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน

2. แผนการดึงดูดการลงทุน และความร่วมมือทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมในตลาดดั้งเดิม โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงปารีส

3. แผนการสร้างพันธมิตรและเจาะตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยงในบริบทโลก โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาด

4. แผนการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อความมั่นคงรอบด้านสำหรับประชาชนคนไทย โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว

นายกรัฐมนตรีได้มอบนโยบายให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศเชิงรุก เน้นการบูรณาการทีมประเทศไทยเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างและระเบียบโลก มาตรการตอบโต้ทางภาษี และความท้าทายในภูมิภาค โดยมุ่งกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องกับประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศอาเซียน ขับเคลื่อนการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ขยายตลาดท่องเที่ยวและบริการการแพทย์ บุกตลาดใหม่ให้สินค้าเกษตรและอาหารไทย เร่งรัด FTA ส่งเสริมการลงทุนทั้งสองด้าน Upskill/Reskill ให้แรงงานไทยและวางตำแหน่งจุดยืนของประเทศไทยในฐานะ Active Promoter of Peace and Common Prosperity ในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นความสำคัญของการทำงานอย่างมีบูรณาการจากทุกหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยจะติดตามผลการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการ (Action Plan) การทูตเชิงรุกในทุกไตรมาส

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ระดมสมองเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับบริการด้านกงสุลและการดูแลและคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ รวมทั้งได้ใช้โอกาสการประชุมฯ ในครั้งนี้ในการสื่อสารข้อมูลสำคัญบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง (Fact-based communication) ในเรื่องที่ประชาชนสนใจ โดยเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่หลายท่านได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในหัวข้อที่เป็นที่สนใจ เช่น การดูแลชุมชน แรงงาน นักเรียนและนักศึกษาไทย ในต่างประเทศ แผนการอพยพคนไทยในกรณีฉุกเฉิน นโยบายไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา การหลอกลวงทางโทรคมนาคมและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ