สรุปการแถลงข่าว พัฒนาการล่าสุดในสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
วันที่ 23 ธันวาคม 2568 เวลา 11.30 น.
ณ ห้องแถลงข่าว และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กระทรวงการต่างประเทศ
- เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน สมัยพิเศษ ว่าด้วยสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน เป็นประธาน
- การประชุมดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย - กัมพูชา และแลกเปลี่ยนรวมทั้งรับฟังความเห็นจากสมาชิกอาเซียนที่ต่างสนับสนุนให้เกิดการคลี่คลายและลดระดับความตึงเครียดในสถานการณ์ไทย - กัมพูชา
- ภายหลังการประชุม กระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ของไทยในเรื่องนี้ ขณะที่มาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ออกแถลงการณ์ของประธานอาเซียน
- ไทยขอบคุณมาเลเซียที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรายการสำคัญครั้งนี้ ซึ่งไทยแสดงความพร้อมที่จะเข้าร่วมตั้งแต่ต้น เนื่องจากเห็นว่า อาเซียนจะสามารถมีบทบาทที่สร้างสรรค์ในเรื่องนี้ได้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และการหารือเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเป็นสิ่งที่ควรทำกันจำกัดในภูมิภาค อันเป็นการแสดงถึงความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality)
- ไทยขอบคุณความปรารถนาดีของเพื่อนสมาชิกอาเซียนที่ร่วมหารืออย่างสร้างสรรค์และประสงค์ให้ไทยและกัมพูชากลับสู่กระบวนการเจรจา เพื่อนำไปสู่การยุติการสู้รบทุกรูปแบบ
- การประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสให้ไทยได้แสดงท่าทีที่สำคัญ 3 ประการ ดังนี้
- ไทยชี้แจงให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทราบถึงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ฯ โดยเท้าความถึงความปรารถนาดีของไทยและความต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดตั้งแต่อดีต โดยตั้งแต่กัมพูชามีสงครามกลางเมือง ไทยได้สนับสนุนการฟื้นฟูสันติภาพภายในประเทศ รวมถึงเปิดชายแดนโอบรับผู้อพยพจากสงครามให้มีที่พักพิงในไทย และเมื่อกัมพูชามีสันติภาพ ไทยยังสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของกัมพูชาผ่านการให้ความช่วยเหลือเพื่อสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล ถนน และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ดังนั้น ไทยจึงไม่เคยมีความปรารถนาใด ๆ ที่จะมีความขัดแย้งกับกัมพูชา
- ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อช่วงกลางปี 2568 ไทยพยายามแก้ไขปัญหาในกรอบทวิภาคี แต่กัมพูชาได้พยายามนำประเด็นดังกล่าวไปสู่ระดับระหว่างประเทศ (internationalize) แทนที่จะพยายามแก้ไขปัญหาระหว่างสองฝ่ายร่วมกัน ซึ่งท้ายที่สุด กัมพูชาทราบดีว่า การแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนจะต้องมาจากคู่กรณีโดยตรง คือ ไทยและกัมพูชา ขณะที่ก่อนหน้านี้ กัมพูชามีความพยายามที่จะบั่นทอนเสถียรภาพของไทยผ่านพฤติกรรมของผู้นำกัมพูชา ซึ่งส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่เป็นประเด็นสำคัญมากหากจะต้องการการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ในการนี้ ไทยจึงย้ำต่อที่ประชุมว่า ที่ผ่านมา ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงภายใต้กรอบทวิภาคีต่าง ๆ มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วม หรือ Joint Declaration (JD) ซึ่งไทยย้ำหลายครั้งว่า JD เป็นเส้นทางไปสู่สันติภาพ แต่จะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับการยึดมั่นในการปฏิบัติ และทุกข้อกำหนดใน JD ก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
ไทยใช้ความอดกลั้นอย่างถึงที่สุด เมื่อพบว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดพันธกรณีภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีต่าง ๆ และกฎหมายระหว่างประเทศในหลายโอกาส ทำให้ไทยไม่อาจเพิกเฉยต่อการละเมิดข้อกำหนดใน JD ในรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการวางทุ่นระเบิด ซึ่งจนบัดนี้ ไทยยังไม่ได้รับคำตอบหรือเหตุผลใด ๆ ที่ชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชา จนมาถึงเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2568 ทหารไทยต้องสูญเสียขา เป็นรายที่ 8 จากการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งในเรื่องนี้ ไทยออกแถลงการณ์ประณามอย่างรุนแรงต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกัมพูชาแล้ว รวมถึงมีหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา ประเทศแซมเบียในฐานะประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) ครั้งที่ 23 เพื่อดำเนินการตามกลไกของอนุสัญญาฯ และเลขาธิการสหประชาชาติ (UNSG) เพื่อแจ้งการละเมิดอนุสัญญาฯ ของกัมพูชา
- ในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายไทยแจ้งจุดยืนของไทย โดยเฉพาะเงื่อนไขสำคัญ 3 ประการที่จะนำไปสู่การลดระดับความตึงเครียด ได้แก่ (1) กัมพูชาจะต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน (2) การหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาจะต้องเกิดขึ้นจริงและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายทหารตามความเป็นจริงในพื้นที่ และ (3) ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับฝ่ายไทยอย่างจริงจัง ที่ผ่านมา กัมพูชาพูดถึงเรื่องหยุดยิงกับทุกฝ่าย ยกเว้นกับฝ่ายไทย ซึ่งสะท้อนถึงอะไรบางอย่างว่า กัมพูชาจริงจังและจริงใจที่จะหยุดยิงหรือไม่
ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาเห็นชอบร่วมกันในที่ประชุมครั้งนี้ตามข้อเสนอของไทย คือ การหยุดยิงจะต้องมาจากการหารือร่วมกัน ดังนั้น ทหารของทั้งสองฝ่ายจึงจะหารือเพื่อกำหนดแนวทางที่จะนำไปสู่การกลับมาหยุดยิงและการยุติการเป็นปรปักษ์ โดยเห็นพ้องให้มีการจัดการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ในวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งไทยเสนอให้จัดในจังหวัดชายแดนฝั่งไทย เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการ ขั้นตอน และการตรวจสอบการหยุดยิงโดยคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ในรายละเอียด ซึ่งขณะนี้ อยู่ในช่วงของการประสานงานของฝ่ายทหารทั้งสองฝ่าย พัฒนาการสำคัญนี้สอดคล้องกับท่าทีของฝ่ายไทยที่ย้ำเสมอว่า การหยุดยิงไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการประกาศฝ่ายเดียว ต้องเกิดจากเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ของทั้งสองฝ่าย จะต้องมาจากการประเมินสถานการณ์ในพื้นที่ของฝ่ายความมั่นคง และต้องมีการหารือในรายละเอียด เพื่อให้การหยุดยิงสะท้อนความเป็นจริงในพื้นที่และมีความยั่งยืน
- ประเทศไทยจะหารือกับกัมพูชาบนพื้นฐานของผลประโยชน์ อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย รวมถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนไทย
- ประเทศไทยยังคงปรารถนาสันติภาพ แต่สันติภาพที่ยั่งยืนจะต้องมาพร้อมกับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทย ซึ่งฝ่ายไทยหวังที่จะเห็นความจริงใจของกัมพูชาที่สะท้อนผ่านการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อสันติภาพที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงสันติภาพที่อยู่บนกระดาษเท่านั้น แต่จะต้องมาจากการกระทำ
สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://fb.watch/E9YlZ_g0ev/