สรุปการแถลงข่าว เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568

สรุปการแถลงข่าว เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568

วันที่นำเข้าข้อมูล 15 พ.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 15 พ.ย. 2568

| 53 view

สรุปการแถลงข่าว เรื่องสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 เวลา 14.15 น.
ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ

 

1. การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ

  • เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี หารือทางโทรศัพท์กับนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมรับฟังด้วย
  • ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สอบถามถึงสถานการณ์ไทย - กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรีแจ้งพัฒนาการล่าสุดและย้ำว่า ทั้งสองฝ่ายพึงต้องปฏิบัติตามถ้อยแถลงที่ได้เห็นชอบร่วมกันเพื่อนำไปสู่สันติภาพ อย่างไรก็ดี ไทยมีความเสียใจที่กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายก่อน โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องทุ่นระเบิดที่ทั้งไทยและกัมพูชาเห็นชอบที่จะเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ยังตกค้างตามแนวชายแดนรวมถึงการไม่ติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่
  • ฝ่ายกัมพูชายังคงบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีย้ำว่า ได้เดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และสามารถยืนยันได้ว่า มีการลักลอบติดตั้งทุ่นระเบิดใหม่ ส่งผลให้ทหารไทยที่ลาดตระเวนตามปกติได้รับบาดเจ็บสาหัสสูญเสียขา นอกจากนี้ ฝ่ายไทยยังได้เชิญคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนลงพื้นที่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2568 เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • ต่อคำถามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับความคาดหวังของไทยที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไทยยังคงยึดมั่นในสันติภาพ แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ต้องยอมรับข้อเท็จจริงและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงมีมาตรการป้องกันเหตุการณ์ลักษณะนี้อีกในอนาคต ดังนั้น การเดินหน้าต่อจึงขึ้นอยู่กับท่าทีของกัมพูชาเป็นสำคัญ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จะต้องเปิดพื้นที่ 13 แห่งที่หารือกันให้ฝ่ายไทยเริ่มดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดโดยไม่มีการขัดขวางปฏิบัติการ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนทั้งสองฝ่าย ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ รับฟังอย่างเข้าใจและรับที่จะพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชาในเรื่องนี้ พร้อมย้ำว่า ทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซียพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเดินหน้าในกระบวนการสันติภาพได้ โดยในส่วนของสหรัฐฯ ไม่ได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทย
  • นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไทยมุ่งมั่นในแนวทางสู่สันติภาพ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไทยจำเป็นต้องสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการใด ๆ ที่จำเป็นเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย

 

2. การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย

  • ภายหลังการหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายกรัฐมนตรีโทรศัพท์หารือกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อประสานข้อมูลที่ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียแสดงความเข้าใจ ในฐานะที่มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน และรับจะช่วยหาแนวทางที่จะให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไปได้ โดยคำนึงถึงข้อเสนอของฝ่ายไทย
  • นายกรัฐมนตรีแจ้งเพิ่มเติมว่า ได้ตอกย้ำกับสหรัฐฯ ด้วยว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเป็นหัวใจสำคัญของข้อตกลงที่ปรากฏในถ้อยแถลงร่วมฯ ดังนั้น ทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซียต่างรับทราบประเด็นที่ไทยให้ความสำคัญ ซึ่งคือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

 

3. ประเด็นการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ

  • เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ไทยได้รับแจ้งจากรองผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ว่า ฝ่ายสหรัฐฯ ขอระงับ (suspend) การเจรจากรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนระหว่างไทยกับสหรัฐฯ (Agreement on Reciprocal Trade Framework) เป็นการชั่วคราว และจะสามารถกลับมาเจรจาความตกลงดังกล่าวได้อีกครั้งเมื่อฝ่ายไทยให้คำมั่นว่า (reaffirms) ปฏิบัติตาม Joint Declaration และหวังว่า จะสามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้โดยเร็ว
  • ไทยมีความผิดหวังในท่าทีจากผู้แทนการค้าสหรัฐฯ โดยไทยได้ยืนยันมาโดยตลอดว่า ประเด็นความมั่นคงและความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นประเด็นทวิภาคีระหว่างไทยกับกัมพูชา ต้องพิจารณาแยกออกจากประเด็นการค้า ซึ่งเป็นประเด็นทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย้ำกับนายกรัฐมนตรีในการหารือทางโทรศัพท์ก่อนหน้านั้นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้ประสงค์ที่จะแทรกแซงการแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศตามกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
  • สำหรับประเทศไทย ประเด็นการค้าระหว่างประเทศและมาตรการทางภาษีของประเทศที่สาม เป็นเรื่องนโยบายเศรษฐกิจที่จะมีการพิจารณาโดยรอบคอบในกรอบความร่วมมือทางการค้าและคำนึงผลประโยชน์ของประเทศคู่เจรจาเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลยังคงมีนโยบายขยายโอกาสทางเศรษฐกิจผ่านการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) การเปิดตลาดใหม่ ๆ และเข้าร่วมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกของไทย
  • ไทยยังคงยินดีและตระหนักในบทบาทที่สร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาลดระดับความตึงเครียดระหว่างกันเพื่อนำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืน ตามการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยไทยจะเดินหน้าบนผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ที่มุ่งไปสู่สันติภาพ

 

ช่วงถาม - ตอบ ต่อข้อสอบถามในการรับมือในการเจรจาภาษีของสหรัฐฯ

  • ไทยชี้แจงจุดยืนไปยังสหรัฐฯ ว่า ไทยมีความตั้งใจในการแยกแยะเรื่องชายแดนออกจากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ โดยไทยขอให้สหรัฐฯ แยกสองเรื่องนี้ออกจากกันเช่นกัน และไทยมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเจรจาการค้าเสรีกับสหรัฐฯ พร้อมทั้งพยายามใช้กลไกทวิภาคีหารือกับกัมพูชา
  • ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แสดงความเข้าใจหลังจากที่นายกรัฐมนตรีแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ รวมถึงรับปากที่จะไปพูดคุยกับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
  • สำหรับการดำเนินการต่อจากนี้ กระทรวงด้านเศรษฐกิจจะดำเนินการเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ ต่อไป ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศหวังว่า การเจรจาเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย - กัมพูชากับประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะช่วยกดดันให้กัมพูชาเข้าใจถึงเป้าประสงค์ที่ประเทศไทยวางไว้

 

สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/share/v/15piW67iHt/?mibextid=wwXIfr

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ