สรุปการแถลงข่าวเกี่ยวกับการบรรยายสรุปของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ เรื่อง ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32

สรุปการแถลงข่าวเกี่ยวกับการบรรยายสรุปของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ เรื่อง ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32

วันที่นำเข้าข้อมูล 4 พ.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 4 พ.ย. 2568

| 8 view

สรุปการแถลงข่าวเกี่ยวกับการบรรยายสรุปของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ เรื่อง ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47
และสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32

โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องแถลงข่าว และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กระทรวงฯ

 

  • วัตถุประสงค์ของบรรยายสรุปนี้เพื่อแจ้งให้คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศทราบถึงบทบาทของไทยและผลลัพธ์การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 เมื่อวันที่ 26 - 28 ตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และสัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2568 ที่เมืองคยองจู สาธาณรัฐเกาหลี ตลอดจนแนวทางการดำเนินการของไทยในระยะต่อไปเพื่อขยายผลและผลักดันประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของประเทศ ภูมิภาค และประชาคมระหว่างประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปประกอบด้วยเอกอัครราชทูตหรือผู้แทนจาก 68 ประเทศ 1 องค์กร และ 6 องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 100 คน

 

1. ภาพรวม

  • การประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคเป็นการประชุมระหว่างประเทศเวทีแรกของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีหลังเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการแนะนำตัวและนำเสนอนโยบายและวิสัยทัศน์ของไทยต่อความท้าทายต่าง ๆ ที่ประชาคมโลกกำลังเผชิญ
  • แม้รัฐบาลจะมีระยะเวลาในการทำงานที่จำกัด แต่ก็มีเป้าหมายที่จะวางรากฐานการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย ครอบคลุม และยั่งยืน
  • ประเทศไทยไปเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายแค่เพื่อผลักดันผลประโยชน์ของประเทศ แต่ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาระดับภูมิภาคและระดับโลกด้วย เช่น การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมดิจิทัล และการพัฒนาที่ยั่งยืนและครอบคลุม
  • ดังนั้น กรอบการประชุมระหว่างประเทศระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนและเอเปคนี้ จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภูมิภาคนิยม (Regionalism) และพหุภาคีนิยม (Multilateralism) ว่าไม่มีประเทศใดจะสามารถแก้ไขปัญหาระดับภูมิภาคหรือระดับโลกเพียงคนเดียวได้ ซึ่งเป็นการย้ำจุดยืนของไทยที่จะสนับสนุนระบอบพหุภาคี
  • ประเด็นสำคัญที่ไทยผลักดันในทั้งสองเวที ได้แก่
    • ประเด็นสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ไทยและกัมพูชาได้ลงนามในถ้อยแถลงร่วมฯ (Joint Declaration) ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายที่จะยุติความขัดแย้งและฟื้นฟูความสัมพันธ์ให้กลับมาเป็นปกติ นอกจากนี้ อีกหนึ่งประเด็นที่ไทยและอาเซียนให้ความสำคัญอย่างมาก คือ ประเด็นเมียนมา ไทยสนับสนุนการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ (Five-Point Consensus) และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของผู้แทนพิเศษของประธานอาเซียน โดยคำนึงว่า เมียนมาจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม 2568
    • ประเด็นความมั่นคงของมนุษย์ ไทยให้ความสำคัญกับการขจัดออนไลน์สแกมและอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่และเรื่องสำคัญ โดยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศในเรื่องนี้ (International Conference on Cybercrime) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการป้องกัน การบังคับใช้กฎหมาย การแลกเปลี่ยนข้อมูล และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการจัดการสถานการณ์ดังกล่าว โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้
    • ประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ไทยผลักดันความร่วมมือด้านการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล ความมั่นคงทางไซเบอร์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหาร พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสีเขียว

 

2. การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

  • อาเซียนยังคงเป็นเสาหลักของนโยบายการต่างประเทศของไทย และการประชุมครั้งนี้มีเหตุการณ์สำคัญ คือ การรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวอาเซียน ลำดับที่ 11 อย่างเต็มรูปแบบ
  • ในการประชุมครั้งนี้ มีผู้นำประเทศคู่เจรจาและภาคีภายนอกที่สำคัญ ๆ หลายประเทศเข้าร่วมด้วย อาทิ สหรัฐฯ จีน อินเดีย (ผ่านทางออนไลน์) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหภาพยุโรป แคนาดา บราซิล และแอฟริกาใต้ ซึ่งทุกประเทศต่างให้ความสำคัญกับความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN centrality) และพร้อมร่วมมือกับอาเซียนในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง convening power ที่เปรียบเสมือน “แรง/พลังดึงดูด” ของเวทีอาเซียน ในการขับเคลื่อนการส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาคและของโลก การปรากฎตัวของผู้นำเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอาเซียนยังคงมีความสำคัญอยู่
  • การประชุมเกิดขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก “ยั่งยืนและครอบคลุม” หรือ “Inclusivity and Sustainability” ของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ประเทศไทยได้แสดงบทบาทในฐานะ “ผู้เล่นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนา” โดยได้ผลักดันประเด็นสำคัญ ได้แก่
    • การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยเสนอจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการต่อต้านออนไลน์สแกม โดยข้อริเริ่มของไทยได้รับความสนใจจากหลายประเทศ ทั้งสหรัฐฯ จีน แคนาดา เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย
    • การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล ไทยเสนอกรอบการเงินเพื่อพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดทำกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ซึ่งไทยเป็นประธานการเจรจา
    • การขับเคลื่อนวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ประชุมเห็นชอบข้อริเริ่มความเกื้อกูลระหว่างวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 กับวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ของสหประชาชาติ หรือ Complementarities Initiative 2.0 ซึ่งไทยเป็นผู้ยกร่าง
    • การแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดน เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 โรคระบาด และภัยพิบัติทางธรรมชาติ

 

3. สัปดาห์การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32

  • การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 32 มุ่งสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนและครอบคลุม พร้อมสนับสนุนการค้าเสรีภายใต้ระเบียบและกติกาสากล
  • ประเด็นสำคัญที่ไทยผลักดันในเวทีเอเปค ได้แก่
    • การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นประเด็นต่อเนื่องจากการประชุมสุดยอดอาเซียน โดยยืนยันข้อเสนอของไทยที่จะจัดการประชุมระหว่างประเทศในเรื่องนี้ ซึ่งเสนอในการประชุมสุดยอดอาเซียน โดยจะบูรณาการความร่วมมือกับ Online Scams Information Exchange Forum ภายใต้กรอบเอเปค
    • การส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและดิจิทัล รวมถึงความร่วมมือด้านธรรมาภิบาล AI การสร้างระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่ยั่งยืนและครอบคลุม รวมทั้งการต่อยอดเป้าหมายกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นข้อริเริ่มของไทย เมื่อครั้งไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคเมื่อปี 2565
    • การทำงานร่วมกับภาคเอกชน โดยมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านดิจิทัล การอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (ease of doing business) และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค
    • การส่งเสริมระบบนิเวศที่เอื้อต่อธุรกิจ ผ่านการปรับปรุงกฎระเบียบการพัฒนาแรงงาน และการขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยมุ่งส่งเสริมโครงการนำร่องอุตสาหกรรมแห่งอนาคตในพื้นที่ต้นแบบ EEC หรือ EEC Sandbox
  • ในการประชุม APEC CEO Summit นายกรัฐมนตรีได้นำเสนอนโยบาย “Quick Big Wins” ของรัฐบาล ที่มุ่งเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุมและยั่งยืน ผ่านการแบ่งเบาหนี้ครัวเรือน การกระตุ้นการใช้จ่าย การเพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุน และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตร่วมกับบริษัทชั้นนำระดับโลก

 

4. การพบหารือทวิภาคี

  • ระหว่างการประชุมทั้งสองกรอบ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้พบหารือกับผู้นำและผู้แทนระดับสูงของประเทศและองค์การต่าง ๆ จำนวน 15 ประเทศ 3 องค์การระหว่างประเทศ และอีกกว่า 20 บริษัท อาทิ
    • การพบหารือกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้พบกันตั้งแต่เกิดเหตุการณ์การปะทะกันเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นโอกาสให้ฝ่ายไทยได้ย้ำความสำคัญของการแสดงความจริงใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงทั้ง 4 ข้อ ได้แก่ การถอนอาวุธหนัก การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามออนไลน์สแกม และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน ซึ่งขณะนี้ ได้มีการดำเนินการแล้วตามลำดับ ตามที่มีการแถลงโดยโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และเหล่าทัพ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล
    • การพบหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามเอกสารสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่ (1) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุที่มีความสำคัญในระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งจะช่วยให้ไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่สำคัญและทำให้ไทยไม่ตกขบวนในห่วงโซ่อุปทานโลกในด้านนี้ และ (2) แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยกรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทน โดยไทยได้ขอให้สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่เป็นคุณแก่ไทย เพื่อให้ภาคเอกชนไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ และตลาดโลกได้ โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยินดีที่จะนำไปพิจารณาต่อไป
    • การพบหารือกับประธานาธิบดีจีน โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมสานต่อความร่วมมือในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะในโอกาสครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ไทย - จีนในปีนี้ รวมถึงการปราบปรามขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ และยินดีกับการยกระดับความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน - จีน หรือ ASEAN China FTA 3.0 ซึ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียว นอกจากนี้ ไทยได้ขอบคุณจีนที่มีท่าทีเป็นกลางสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาหาทางออกร่วมกันอย่างสันติ
    • การพบหารือกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี โดยไทยได้ผลักดันประเด็นการค้า การลงทุน การเร่งรัดการจัดทำความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ไทย - สาธารณรัฐเกาหลี (CEPA) รวมถึงการป้องกันและปราบปรามออนไลน์สแกม และการเพิ่มโควต้าสำหรับแรงงานไทย

 

  • ในการประชุมทั้งสองกรอบ ประเทศไทยได้ขับเคลื่อนประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของไทยโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ไทย - กัมพูชา การส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมิตรประเทศต่าง ๆ รวมถึงมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ และจีน ตลอดจนการชักชวนให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มพูนมูลค่าการค้าและการลงทุนกับไทย
  • นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้แสดงวิสัยทัศน์ในประเด็นต่าง ๆ ที่เป็นข้อห่วงกังวลของประชาคมโลก รวมทั้งได้ยืนยันความพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาคมระหว่างประเทศ ที่ตระหนักถึงวิสัยทัศน์และบทบาทที่สร้างสรรค์ของไทย ถือเป็นการนำไทยกลับสู่จอเรดาร์โลกได้อย่างดี

 

สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://www.facebook.com/ThaiMFA

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ