สรุปแถลงข่าวประจำสัปดาห์ วันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๔.๓๐ น.

สรุปแถลงข่าวประจำสัปดาห์ วันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๔.๓๐ น.

วันที่นำเข้าข้อมูล 7 มี.ค. 2567

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 7 มี.ค. 2567

| 1,585 view

สรุปแถลงข่าวประจำสัปดาห์

โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๔.๓๐ น.

ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ และ Facebook live

 

๑. ท่าทีไทยต่อสถานการณ์ในอิสราเอล-กาซา

  • จากเหตุการณ์จรวดต่อต้านรถถังถูกยิงจากฝั่งเลบานอนข้ามมายังชายแดนทางตอนเหนือของอิสราเอลบริเวณนิคมเกษตร Margaliot เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๗ โดยมีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บ ๕ ราย ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ๓ ราย ผู้บาดเจ็บที่เหลือ ๒ ราย ยังมีอาการค่อนข้างหนัก ซึ่งเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้เข้าเยี่ยมแรงงานไทยทั้ง ๒ รายตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ รวมถึงได้พบกับแพทย์เพื่อติดตามอาการ และประสานญาติแล้ว
  • ที่ผ่านมา สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้แจ้งกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลให้เร่งสำรวจรายชื่อแรงงานไทยที่ยังคงทำงานอยู่ในพื้นที่สีแดงติดกับชายแดนเลบานอน และขอให้ย้ายคนไทยเหล่านั้นออกจากพื้นที่ทันที โดยก่อนหน้านี้ ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ได้เคยประสานกับทางการอิสราเอลเพื่ออพยพแรงงานไทยออกจากเมือง Metula ซึ่งอยู่ในพื้นที่สีแดงทางเหนือถึง ๑๔ รายด้วยแล้วเช่นกัน
  • สำหรับคนไทยในอิสราเอล สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอให้ลงทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูตฯ หรือหากต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อได้ที่เฟสบุ๊กของสถานเอกอัครราชทูตฯ หรือ
    • หมายเลขโทรศัพท์ +๙๗๒ ๕๔๖๓๖๘๑๕ , +๙๗๒ ๕๐๓๖๗๓๑๙๕
    • อีเมล [email protected] 
  • สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน ยังคงมีปฏิบัติการทางทหารที่เข้มข้นในพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของกาซา อีกทั้งยังมีการจับกุมผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในเขต West Bank อย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการโจมตีตอบโต้กันระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม Hezbollah อย่างหนักในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิสราเอล ในขณะเดียวกัน หลายฝ่ายพยายามเจรจาเพื่อนำไปสู่การหยุดยิงชั่วคราวก่อนช่วงรอมฎอนในวันที่ ๑๐ มีนาคมนี้ ซึ่งหากสำเร็จก็จะนำไปสู่การปล่อยตัวประกันชาติต่าง ๆ รวมถึงตัวประกันคนไทยอีก ๘ คนด้วย
  • ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ ดำเนินการติดต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการเจรจาหยุดยิงและยุติการสู้รบในอิสราเอล-กาซา โดยวานนี้ (๖ มีนาคม) กระทรวงฯ ได้ออกแถลงการณ์แสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์ในอิสราเอล-กาซา (สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://www.mfa.go.th/th/content/statement-concerns-israel-gaza-situation
  • เช้าวันนี้ (๗ มีนาคม) ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศได้เชิญนาย Ariel Seidman อุปทูตรักษาราชการแทนเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย เข้าพบหารือ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
    • ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ แจ้งว่า ไทยติดตามสถานการณ์ในอิสราเอล-กาซาด้วยความห่วงกังวล รวมถึงการโจมตีเมืองราฟาห์และการโจมตีในพื้นที่ทางตอนเหนือของอิสราเอล และขอความร่วมมือจากฝ่ายอิสราเอลในการดูแลความปลอดภัยของแรงงานไทย ไม่ให้ไปทำงานในพื้นที่เสี่ยง
    • ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ สอบถามสถานะการมีชีวิตอยู่ของตัวประกันชาวไทยและย้ำความห่วงกังวลต่อสถานภาพและความปลอดภัยของตัวประกันคนไทย ๘ คน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลไทยประสานกับมิตรประเทศเพื่อผลักดันให้มีการปล่อยตัวคนไทยทั้ง ๘ คนมาอย่างต่อเนื่อง แต่เงื่อนไขสำคัญ คือ การหยุดยิง เพื่อให้ตัวประกันสามารถได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย ไทยจึงมีความห่วงกังวลอย่างมากต่อการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่หยุดชะงักลงในช่วงที่ผ่านมา และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการผลักดันให้การเจรจาเดินหน้าเพื่อนำไปสู่การหยุดยิงและการปล่อยตัวประกัน เพื่อยุติความสูญเสียและให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมถึงมือชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาได้มากขึ้น
    • ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ หารือถึงความจำเป็นที่ต้องเร่งรัดการจัดทำความตกลงเกี่ยวกับการส่งแรงงานไทยกลับไปทำงานที่อิสราเอลในอนาคต เพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่างมีระบบและสามารถให้ความมั่นใจแก่แรงงานไทยได้ ทั้งในเรื่องการทำงานในพื้นที่ที่ปลอดภัย และผลประโยชน์/ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
    • อุปทูตรักษาราชการฯ เห็นพ้องถึงความจำเป็นในการหยุดยิงและแจ้งว่า การเจรจามีความคืบหน้าตามลำดับและจะแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบเมื่อมีพัฒนาการเพิ่มเติม อีกทั้งได้แจ้งด้วยว่า ขณะนี้ สามารถยืนยันจำนวนตัวประกันอิสราเอลที่เสียชีวิตจากการสู้รบเพิ่มเติมได้แล้วกว่า ๓๐ คน จากจำนวนผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันทั้งหมด ๑๓๔ คน รวมทั้งย้ำด้วยว่า อิสราเอลปฏิบัติต่อผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามของทุกชาติเช่นเดียวกับคนอิสราเอล และรับจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ์และสวัสดิภาพของแรงงานไทยอย่างเต็มที่
  • นอกจากนี้ เอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้พบหารือกับฝ่ายอิสราเอลที่ดูแลเรื่องตัวประกันมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับแจ้งว่ายังไม่มีข้อมูลว่ามีตัวประกันคนไทยเสียชีวิตแต่อย่างใด

๒.  ผลการประชุมผู้นำอาเซียน-ออสเตรเลียสมัยพิเศษ (๔-๖ มี.ค.) 

  • เมื่อวันที่ ๔-๖ มีนาคม ๒๕๖๗ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ร่วมคณะที่นำโดยนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ ๕๐ ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย ที่นครเมลเบิร์น ออสเตรเลีย พร้อมหารือผู้นำประเทศและผู้บริหารเอกชนในห้วงการประชุม
  • ผลลัพธ์สำคัญ
    • ในช่วงการประชุมเต็มคณะ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมหารือแนวทางผลักดันความร่วมมืออาเซียน-ออสเตรเลียให้เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ โดยไทยได้ผลักดันเรื่องความเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อในทุกด้าน และสนับสนุนข้อริเริ่มออสเตรเลียที่จะช่วยกระชับความร่วมมืออาเซียน-ออสเตรเลียให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์อาเซียน-ออสเตรเลีย ทุนการศึกษาออสเตรเลียเพื่ออาเซียน มาตรการอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตราให้กับนักธุรกิจและกลุ่มบุคคลที่เดินทางเข้าออสเตรเลียเป็นประจำ และการต่ออายุโครงการความร่วมมือในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง ฯลฯ
    • ในช่วงการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ นายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนความเห็นต่อพัฒนาการในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ย้ำการเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ร่วมกันของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก แสดงท่าทีไทยต่อสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สำคัญ รวมถึงข้อริเริ่มของไทยในการยกระดับการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ตลอดจนข้อห่วงกังวลต่อวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาและเหตุการณ์ที่แรงงานไทยในอิสราเอลได้รับบาดเจ็บจากจรวดต่อต้านรถถังที่ถูกยิงข้ามฝั่ง นอกจากนี้ ยังได้ผลักดันวาระสีเขียวซึ่งรวมถึงการลงทุนด้านการเปลี่ยนผ่านสีเขียว ซึ่งรวมถึงการแก้ไขปัญหาหมอกควัน 5 การสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีสีเขียว การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสะอาด และเศรษฐกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมด้วย
  • ภารกิจอื่น ๆ ในห้วงการประชุม
    • ร่วมในภารกิจ นรม.
      • พบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีฯ เข้าร่วมด้วย หารือแนวทางผลักดันความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน นวัตกรรม เทคโนโลยีการเกษตร การส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีในระดับประชาชนผ่านการศึกษาและการท่องเที่ยว
      • พบหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ผลักดันความร่วมมือด้านการส่งเสริมความเชื่อมโยงในด้านต่าง ๆ รวมถึงหารือแนวทางส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกัน
      • พบหารือกับผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทเอกชนชั้นนำของออสเตรเลีย ๖ รายในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย โดยได้เชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในสาขาที่เกี่ยวข้อง ขยายการลงทุน ตลอดจนพิจารณาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการลงทุน
    • ภารกิจอื่น ๆ ของ รนรม./รมว.กต.
      • พบหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย เห็นพ้องที่จะสานต่อความร่วมมือในฐานะหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ตลอดจนแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นในภูมิภาค โดยเฉพาะสถานการณ์ในเมียนมา
      • พบหารือกับประธานและผู้บริหารของบริษัท Toyota Australia เกี่ยวกับแนวทางการแลกเปลี่ยนทางการค้าและการลงทุนในภาคธุรกิจรถยนต์ระหว่างไทยกับออสเตรเลีย และศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน
      • เยี่ยมช้างไทย ๘ เชือก ที่สวนสัตว์นครเมลเบิร์น ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่อย่างดี และเป็นที่รักและเอ็นดูของผู้เข้าเยี่ยมชมสวนสัตว์ในเมลเบิร์น

๓. จ. นครราชสีมา ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงานพืชสวนโลก (Korat Expo 2029)

  • กระทรวงฯ ขอร่วมแสดงความยินดีที่ จ. นครราชสีมา ได้รับเลือกโดยที่ประชุมสามัญ สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPHA) ประจำปี ๒๐๒๔ ที่กรุงโดฮา กาตาร์ ให้เป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก Nakhon Ratchasima International Horticultural Expo 2029 หรือ “Korat Expo 2029”
  • ผู้แทนจากทีมประเทศไทยที่เข้าร่วมประชุมและนำเสนอความพร้อมของประเทศไทยในรอบสุดท้าย ประกอบด้วยผู้แทนจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา ในฐานะหัวหน้าทีมประเทศไทย อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา และผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB)
  • Korat Expo 2029 จะจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจี อนาคตแห่งโลกสีเขียว” เพื่อสะท้อนความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพืชสวนและการเกษตรที่ยั่งยืนของประเทศไทย โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๗๒ - ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๗๓ โดยคาดว่าจะผู้เข้าชมงานจำนวน ๒.๖ - ๔ ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะนำมาสู่การจ้างงาน ๓๖,๐๐๐ อัตรา และคาดว่าจะมีเงินสะพัดกว่า ๑๘,๙๐๐ ล้านบาท

๔. ประเด็นอื่น ๆ : เตือนภัยกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างกรมการกงสุล

  • กระทรวงฯ ขอเตือนภัยเกี่ยวกับขบวนการ call center หลอกลวงคนไทยในสหรัฐฯ ที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมการกงสุล ผ่านการโทรศัพท์ติดต่อคนไทยแนะนำให้ทำหนังสือเดินทางรุ่นใหม่ และขอให้เพิ่มไลน์ที่ใช้ชื่อว่า “กรมการกงสุล” จากนั้นจะส่ง link และ video call เพื่อให้กดยินยอมติดตั้ง app “DCA Thai Consulars” ในเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งหากมีการติดตั้งแล้ว กลุ่มมิจฉาชีพจะสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือดำเนินธุรกรรมต่าง ๆ ในโทรศัพท์ของเหยื่อได้
  • แอพพลิเคชัน “DCA Thai Consulars” มีความใกล้เคียงกับแอพพลิเคชันจริงของกรมการกงสุลอย่างมาก จึงขอให้สังเกตว่า แอพพลิเคชันจริงและบัญชีไลน์ของกรมการกงสุลมีชื่อว่า “Thai Consular” ส่วนแอพพลิเคชันแอบอ้างใช้ชื่อว่า “Thai Consulars” และไลน์ที่แอบอ้างใช้ชื่อ “กรมการกงสุล” 
  • ขอเตือนพี่น้องคนไทยทั้งในและต่างประเทศว่า หน่วยงานของกระทรวงฯ ไม่มีนโยบายหรือแนวทางให้เจ้าหน้าที่โทรศัพท์ถึงคนไทยเพื่อแจ้งให้ทำหนังสือเดินทางรุ่นใหม่ หรือสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลแต่อย่างใด

    รับชมการแถลงข่าวได้ที่: https://www.facebook.com/share/v/QTi6PkGUevMMxJjS/?

 

* * * * *

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ