เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก ได้ร่วมกับ ProChile (สำนักงานส่งเสริมการส่งออกของชิลี) เป็นเจ้าภาพจัดงาน Kick-off เปิดตัวโครงการนำคณะนักธุรกิจชิลีเยือนประเทศอินโดนีเซียและไทย ระหว่างวันที่ 8 - 12 กันยายน 2568 เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและเสริมสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนอกเหนือจากการจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ระดับทวิภาคีในแต่ละประเทศที่จะไปเยือนแล้ว เป็นครั้งแรกที่ ProChile จะจัดงาน “Chile-ASEAN Business Summit” เพื่อเป็นเวทีในการพบปะเจรจาการค้าระหว่างนักธุรกิจจากบริษัทชั้นนำในภาคการเกษตรและอาหารของชิลี กว่า 25 บริษัท กับผู้ประกอบการจากประเทศสมาชิกอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม โดยงาน “Chile-ASEAN Business Summit” ครั้งที่ 1 จะมีขึ้นในวันที่ 10 กันยายน 2568 ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี สุขุมวิท กรุงเทพฯ
ในโอกาสนี้ นางสาววิมลพัชระ รักษาเกียรติ เอกอัครราชทูต ณ กรุงซันติอาโก ได้รับเกียรติให้ร่วมกล่าวสุนทรพจน์พร้อมกับนายอันโตนิโอ วอลคเกอร์ ประธานสมาคมเกษตรแห่งชาติชิลี และนายอิกนาซิโอ เฟอร์นันเดซ ผู้อำนวยการใหญ่ ProChile เพื่อเปิดตัวโครงการฯ ต่อนักธุรกิจชิลีที่จะร่วมเดินทางเยือนอาเซียนในครั้งนี้ โดยเอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างความร่วมมือทางการค้าการลงทุนที่ยั่งยืนระหว่างสองภูมิภาคท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และชูศักยภาพของอาเซียนในการเติบโตอย่างเข้มแข็ง แม้จะต้องปรับตัวเพื่อก้าวข้ามความท้าทายเช่นโรคระบาดและปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์
นอกจากนี้ การที่กระทรวงพาณิชย์ของไทย โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้พาคณะผู้แทนการค้าไทยเยือนประเทศชิลีเพื่อจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ เมื่อวันที่ 24 - 27 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี และถือเป็นกิจกรรมในภูมิภาคลาตินอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมสูงถึง 40 บริษัท แสดงว่า ทั้งไทยและชิลีต่างเล็งเห็นถึงโอกาสในการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ซึ่งปีนี้ยังเป็นวาระครบรอบ 10 ปี การมีผลใช้บังคับของความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลีอีกด้วย โดยไทยพร้อมที่จะเป็นพันธมิตรและประตูสู่ภูมิภาคอาเซียนสำหรับชิลี และสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามผลการเยือนของคณะนักธุรกิจชิลี เพื่อช่วยผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางการค้าการลงทุนที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายต่อไป