วันที่นำเข้าข้อมูล 15 มิ.ย. 2568
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 15 มิ.ย. 2568
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวสรุปผลการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 - 14 มิถุนายน 2568 ที่กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ” สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เวลา 18.26 น. กระทรวงการต่างประเทศได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้นำคณะเอกอัครราชทูตกงสุลใหญ่ และผู้บริหารกระทรวงฯ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เพื่อรับพระราชทานพระบรมราโชวาทในการเจริญไมตรีกับมิตรประเทศ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้
2. การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสมและมีความสำคัญ เนื่องจากบริบทระหว่างประเทศกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญ ทั้งในเชิงโครงสร้างและระเบียบโลก จากการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ มีผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวในหลายเรื่อง ดังนั้น การประชุมในครั้งนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่
3. ในพิธีเปิดการประชุมเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการผ่านบันทึกวีดิทัศน์ มอบโจทย์ให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ระดมสมอง เพื่อปรับยุทธศาสตร์การต่างประเทศ โดยคำนึงถึงความท้าทาย โอกาส และจุดแข็งของประเทศไทย นำพาประเทศไปอยู่ในตำแหน่งที่ได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้ระเบียบโลกและอำนาจใหม่
4. ตลอดระยะเวลา 4 วัน ที่ประชุมได้ระดมสมอง และเห็นว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการ (1) ปรับกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ของนโยบายต่างประเทศ และ (2) ปรับกระบวนยุทธ์ทีมประเทศไทย
5. ในด้านการปรับกระบวนทัศน์นโยบายต่างประเทศ ทั้งหมดต้องสอดคล้องและเตรียมรับมือกับโครงสร้างและระเบียบโลกใหม่ ประการแรก Repositioning ประเทศไทย โดยใช้ยุทธศาสตร์ลดและกระจายความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (geo-strategic de-risking and Multiple Alignment) รักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และแสวงหามิตรที่ใกล้ชิดใหม่ ๆ ในภูมิภาคต่าง ๆ ที่สำคัญ ซึ่งก็คือมหาอำนาจขนาดกลาง และ emerging economies ที่มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค
6. ประการที่สอง Rebranding ประเทศไทย สร้างภาพจำใหม่บนเวทีโลกโดยเสริมสร้างอัตลักษณ์และจุดยืนที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ โดยเน้นการสร้าง “คุณค่าเชิงยุทธศาสตร์” โดยเฉพาะ branding ที่สำคัญอันใหม่ของไทยและเป็นนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีคือ modern soft power ซึ่งนอกจากเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยทั้งหมดนี้จะเป็นการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของประเทศจากเดิมที่เป็นมิตรกับทุกประเทศ ให้เป็นมิตรที่ขาดไม่ได้ของทุก ๆ ประเทศ
7. ประการที่สาม การทูตเชิงรุก (Proactive Diplomacy) ในการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาค ผ่านการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลไกอาเซียน และอีกหลาย ๆ กลุ่ม
8. ขณะเดียวกัน การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก มีความสำคัญเพื่อรับมือกับสงครามการค้าและการเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลกใหม่ โดยในระยะสั้น จะเน้นส่งเสริมและแก้ไขอุปสรรคในการส่งออก เพิ่ม value การส่งออกและท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะกลุ่ม high spenders ดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และดึงดูดกลุ่ม talent และกลุ่ม wealth จากทั่วโลก และในระยะกลางและยาว จะเน้นการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและ join the right conversations คือการเข้าไปมีบทบาทในการพูดคุยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง
9. ในด้านการปรับกระบวนยุทธ์ของทีมประเทศไทย เน้นการผลักดันให้เกิดเอกภาพในการขับเคลื่อนการต่างประเทศ การบูรณาการร่วมกันผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกทีมประเทศไทย รวมทั้งการสร้างพลังการขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน
10. นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ระดมสมองเพื่อหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับบริการด้านกงสุล ดูแลและคุ้มครองคนไทยในต่างประเทศ
11. ในโอกาสการประชุมในครั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ใช้โอกาสในการสื่อสารข้อมูลสำคัญบนพื้นฐานข้อเท็จจริง (fact-based communication) กับประชาชน ในเรื่องที่ประชาชนสนใจ โดยเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่หลายท่านได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เช่น การดูแลชุมชน แรงงาน นักเรียนและนักศึกษาไทยในต่างประเทศ แผนการอพยพคนไทยในกรณีฉุกเฉิน นโยบายไทยต่อสถานการณ์ในเมียนมา การหลอกลวงทางโทรคมนาคมและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งในการดำเนินการในเรื่องเหล่านี้ ต้องบูรณาการกับหน่วยงานและหลายภาคส่วน เช่น การช่วยเหลือตัวประกันชาวไทยในฉนวนกาซา และการช่วยเหลือลูกเรือประมงไทยในเมียนมา
12. หลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ จะร่วมกันขับเคลื่อนผลการประชุมฯ และนโยบายของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การต่างประเทศของไทยเป็นเครื่องมือเชิงรุกที่ตอบสนองประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อประชาชนไทยเป็น “การทูตเพื่อประชาชน” อย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในศตวรรษที่ 21 นโยบายสาธารณะและนโยบายต่างประเทศต้องทำงานควบคู่เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะนโยบายต่างประเทศต้องสามารถตอบโจทย์และขับเคลื่อนโยบายสาธารณะได้อย่างเป็นรูปธรรม
13. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่นำโจทย์ที่ได้รับและประเด็นที่ได้มีการหารือจากการประชุมฯ ไปประยุกต์ใช้ โดยมีการจัดทำแผนปฏิบัติการและตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อประเมินผล ทั้งในเรื่องการปรับกระบวนทัศน์ของนโยบายต่างประเทศ และการปรับกระบวนยุทธ์ทีมประเทศไทย โดยให้มีการรายงานผลการดำเนินการเป็นระยะให้นายกรัฐมนตรีทราบ ซึ่งได้สั่งการไว้ในพิธีปิดการประชุมฯ
รูปภาพประกอบ
วันทำการ : จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30 - 16.30 น.
(ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
งานรับ-ส่งหนังสือ และงานสารบรรณ:
อีเมล [email protected]
เว็บไซต์นี้ได้รับการออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนเข้าถึงเว็บไซต์ได้และมีมาตรฐาน WCAG 2.0 ระดับ AA
** เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุดควรใช้ Chrome เวอร์ชั่น 76 ขึ้นไป **