สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
วันที่ 15 ธันวาคม 2568 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องแถลงข่าว และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กระทรวงการต่างประเทศ
1. พัฒนาการล่าสุดของสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
1.1 กรณีการหยุดยิงที่ถูกนำเสนอในโซเชียลมีเดีย
- ตามที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงเมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม 2568) ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซียชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีโดยตรงแล้วว่า ไม่ได้พูดเรื่องหยุดยิงในโซเชียลมีเดีย แต่ประสงค์ให้การยั่วยุทั้งหมดยุติลง ดังนั้น จึงเป็นที่ชัดเจนว่า ไม่ได้มีการหารือเรื่องการหยุดยิง และกระแสข่าวในช่วงที่ผ่านมาน่าจะเป็นความตั้งใจในการส่งต่อและบิดเบือนข้อความเพื่อผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม
- การหยุดยิงขึ้นอยู่กับสองประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งและต้องพิสูจน์โดยการกระทำ อีกทั้งการพูดคุยเรื่องการหยุดยิงต้องมีความจริงใจและเข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง
- หากจะมีการเจรจาหยุดยิง คำพูดของฝ่ายกัมพูชาจะต้องมาพร้อมกับการกระทำผ่าน 3 เงื่อนไขหลัก คือ (1) ฝ่ายกัมพูชาจะต้องประกาศหยุดยิงก่อน (2) การหยุดยิงจะต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง และ (3) ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจังและจริงใจ
- ที่ผ่านมา สิ่งที่กัมพูชาตกลงไม่ตรงกับการกระทำ พูดอย่างทำอย่าง การกระทำของกัมพูชาส่วนใหญ่มักสวนทางกับคำพูด เพราะเมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม 2568) ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการทางทหารที่หนักหน่วงขึ้น โดยยิงจรวด BM-21 ในลักษณะไม่เลือกเป้าหมาย ส่งผลให้พลเรือนไทยเสียชีวิต และโดยที่พฤติกรรมของกัมพูชายังเป็นเช่นนี้ ฝ่ายไทยยังจำเป็นที่จะต้องยึดมั่นต่อการดำเนินการตอบโต้เพื่อปกป้องอธิบไตยและความปลอดภัยของประชาชนต่อไป
1.2 การโจมตีพลเรือนไทยของฝ่ายกัมพูชา
- เมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม 2568) กัมพูชายังคงโจมตีไทยอย่างไม่เลือกเป้าหมาย โดยได้ยิงจรวดชนิด BM-21 ใส่บ้านเรือนประชาชน ในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก กระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียดังกล่าว และขอให้ผู้ได้รับบาดเจ็บฟื้นตัวโดยเร็ว
- เหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ประเทศไทยจึงขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำอันโหดร้ายและไร้มนุษยธรรมของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งไม่เพียงเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย แต่ยังเป็นการละเมิดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะหลักการคุ้มครองพลเรือน และหลักการจำแนกเป้าหมายทางทหารและเป้าหมายพลเรือน ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ทุกประเทศต้องยึดถือ
- ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการใช้กำลังต่อพลเรือนโดยทันที เคารพพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ และแสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์
- เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เพื่อแจ้งข้อห่วงกังวลต่อการละเมิดเหล่านี้ โดยหนังสือดังกล่าวมีสาระสำคัญหลายประการ เช่น
- กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีไทยก่อนและโจมตีพื้นที่พลเรือน ซึ่งทำให้ทหารไทยและพลเรือนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งสถานพยาบาลและโรงเรียนรวมกว่า 600 แห่งต้องปิดทำการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
- การโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของฝ่ายกัมพูชาขัดต่อกฎหมายมนุษยธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ รวมถึงอนุสัญญาเจนีวาฯ อย่างร้ายแรง ไทยจึงจำเป็นต้องสงวนสิทธิในการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย และป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยตอบโต้ฝ่ายกัมพูชาเฉพาะเป้าหมายทางทหาร
- ไทยขอให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประขาชาติ (OHCHR) เรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจงข้อเท็จจริง แสดงความรับผิดชอบ และยุติการกระทำยั่วยุ รวมทั้งการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น OHCHR และคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) เพื่อหาทางออกของสถานการณ์นี้อย่างสันติ
- รัฐบาลไทยจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องชีวิต ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีของประชาชนไทย และขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันกดดันกัมพูชาให้เคารพกฎหมายระหว่างประเทศและแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม รวมถึงแสดงความจริงใจในการลดความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยการกระทำที่สุจริตใจ มิใช่เพียงด้วยคำพูดหรือเศษกระดาษ
1.3 การปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่โบราณสถาน
- ตามที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้างโดยไร้เหตุผลรองรับว่า ปฏิบัติการทางทหารของไทยก่อให้เกิดความเสียหายต่อโบราณสถานต่าง ๆ ตามแนวชายแดน นั้น ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจนว่า กองทัพกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ใช้ปราสาทต่าง ๆ ตามแนวชายแดนเป็นฐานปฏิบัติการทางทหาร โดยใช้เป็นที่เก็บสะสมอาวุธและเป็นจุดซุ่มโจมตีฝ่ายไทย ซึ่งล่าสุด เมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม 2568) กองทัพกัมพูชายังคงเสริมกำลังและโจมตีไทยด้วยปืนใหญ่ ปืนครก และจรวด BM-21 ในหลายพื้นที่ปราสาทสำคัญ เช่น ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา และปราสาทตาเมือน จังหวัดสุรินทร์
- การกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเพื่อการปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในสถานการณ์ขัดกันทางอาวุธ ค.ศ. 1954 (Convention for the Protection of Cultural Property in the Event of Armed Conflict) หรืออนุสัญญากรุงเฮก (The Hague Convention) และอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ค.ศ. 1972 (Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage) หรืออนุสัญญามรดกโลก (The World Heritage Convention) ที่กำหนดพันธกรณีให้ทั้งไทยและกัมพูชา ในฐานะภาคีอนุสัญญาฯ ต้องปกป้องและไม่ใช้โบราณสถานหรือทรัพย์สินทางวัฒนธรรมใด ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ทางการทหาร
- ฝ่ายไทยจึงไม่มีทางเลือกอื่นและมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปฏิบัติการทางทหารเพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่อาจบานปลาย และยับยั้งการใช้โบราณสถานเพื่อประโยชน์ทางการทหารของกัมพูชา ซึ่งหากปล่อยให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการต่อไป ก็จะยิ่งส่งผลกระทบและสร้างความเสียหายต่อชุมชนบริเวณชายแดนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวของฝ่ายไทยไม่ได้ขัดต่ออนุสัญญากรุงเฮกที่ได้กำหนดข้อยกเว้นในกรณีเช่นนี้ไว้
- องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายร่วมกันปกป้องทรัพย์สินทางวัฒนธรรมในบริเวณชายแดน ซึ่งยังพบว่า ฝ่ายกัมพูชาตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อชี้นำให้ประชาคมระหว่างประเทศมุ่งเป้ามาเพียงที่ประเทศไทย อันแสดงถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาอีกครั้ง
- ประเทศไทยขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชายุติการใช้พื้นที่โบราณสถานเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารและยุติการบิดเบือนข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
1.4 การระงับการเดินทางผ่านจุดผ่านแดนทางบกไทย - กัมพูชา
- ประเทศไทยแสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อการจำกัดการเคลื่อนย้ายของคนไทยที่พำนักอยู่ในกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยได้อำนวยความสะดวกให้พลเมืองกัมพูชาเดินทางออกจากประเทศไทยทางบกแล้ว ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธไม่เปิดด่านให้คนไทยสามารถเดินทางกลับประเทศไทยทางบกได้
- ประเทศไทยขอย้ำว่า ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 4 พลเรือนมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตลอดเวลา และมีสิทธิในการเดินทางออกจากประเทศ ทั้งนี้ พลเรือนถือเป็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ และต้องไม่ถูกปฏิบัติราวกับเป็นคู่ขัดแย้งในสถานการณ์
- มาตรการดังกล่าวของกัมพูชาอาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศข้างต้น โดยรัฐมนตรีฯ อยู่ระหว่างมีหนังสือถึงข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติอีกหนึ่งฉบับ เพื่อประท้วงกัมพูชาในเรื่องนี้
- ถึงแม้ว่า เมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม 2568) สมเด็จฯ ฮุน เซน และทางการกัมพูชาจะโพสต์ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กัมพูชาเพียงระงับการเดินทางข้ามแดนผ่านช่องทางทางบกเพื่อประกันความปลอดภัยของผู้เดินทางในห้วงที่ยังมีการปะทะกันอยู่ โดยยังสามารถข้ามแดนผ่านทางอากาศได้ ฝ่ายไทยเห็นว่า คำชี้แจงดังกล่าวเป็นเพียงความพยายามลดทอนความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของกัมพูชาอันเนื่องมาจากการประกาศใช้มาตรการดังกล่าว
- การที่กัมพูชาต้องออกมาชี้แจงข้อมูลในเรื่องนี้อีกครั้งสะท้อนถึงความผิดพลาดและความไม่ชัดเจนในการสื่อสาร หรือการออกนโยบายโดยปราศจากการพินิจพิเคราะห์อย่างรัดกุม ข้อบกพร่องนี้ไม่ได้เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อชาวไทยเท่านั้น แต่ยังทำให้ชุมชนชาวต่างชาติในกัมพูชามีความเข้าใจผิดและตื่นตระหนกในวงกว้างด้วย
- ทหารไทยมีความเป็นมืออาชีพและปฏิบัติตามกฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement) อย่างเคร่งครัด ไม่เคยมีจุดมุ่งหมายที่จะโจมตีพลเรือน ซึ่งไม่ใช่คู่กรณีโดยตรง ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นห่วงกังวลเกี่ยวกับการประกันความปลอดภัยให้แก่พลเรือนในการข้ามแดนทางบก เว้นแต่กัมพูชาตั้งใจจะโจมตีพลเรือนไทยอย่างไม่เลือกเป้าหมายเหมือนที่ผ่านมาในการเดินทางทางบกนี้
- ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยพร้อมที่จะอำนวยความสะดวกแก่พี่น้องประชาชนไทยในกัมพูชาอย่างเต็มที่ โดยคนไทยในกัมพูชาสามารถลงทะเบียนกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ หรือสถานกงสุญใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ เพื่อยืนยันตัวตนหรือแสดงความประสงค์ในการเดินทางกลับประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศพร้อมดำเนินการด้านเอกสารให้ประชาชนทุกคนผ่านสถานเอกอัครราชทูตฯ และสถานกงสุญใหญ่ฯ โดยเร็วที่สุด เพื่อใช้ในการเดินทางกลับประเทศไทยในช่องทางที่ทำได้ต่อไป
1.5 การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชา
- ฝ่ายกัมพูชายังคงเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลเท็จอย่างเป็นกระบวนการ ยกตัวอย่างเช่น
(1) กระทรวงมหาดไทยกัมพูชาเผยแพร่วิดีโอทหารไทยฉีดพ่นยาไล่ยุง และบิดเบือนว่า เป็นการใช้แก๊สพิษจนส่งผลให้พลเรือนกัมพูชาเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ และ
(2) สื่อกัมพูชา ซึ่งถูกควบคุมโดยภาครัฐ เผยแพร่ข้อมูลเท็จว่า โรงพยาบาลในจังหวัดสุรินทร์ไม่สามารถรองรับทหารไทยที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์การปะทะนับพันรายได้ จนต้องลำเลียงผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โดยใช้รูปจาก AI ที่สังเกตได้ชัดเจนในการสนับสนุนข้อมูลดังกล่าว
- การกระทำนี้สามารถตีความได้ใน 2 ประการ คือ (1) หน่วยงานภาครัฐของกัมพูชาทำงานอย่างไม่มีความเป็นมืออาชีพ โดยไม่สามารถพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงที่คนทั่วไปสามารถใช้สามัญสำนึกวิเคราะห์ได้ และ (2) ฝ่ายกัมพูชาจงใจหลอกลวงประชาชนด้วยชุดข้อมูลที่ไร้ความน่าเชื่อถือและไร้หลักฐานรองรับ ซึ่งแสดงถึงความไม่เคารพและการดูถูกวิจารณญาณของประชาชนชาวกัมพูชา
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศพบหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ
- เมื่อวานนี้ (14 ธันวาคม) รัฐมนตรีฯ พบหารือกับนายเล หว่าย จุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการ โดยรัฐมนตรีฯ กล่าวถึงความสัมพันธ์ไทยเวียดนามที่จะครบ 50 ปีในปีหน้า ซึ่งทั้งสองประเทศเพิ่งประกาศความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership) ระหว่างกัน และหารือการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการ 3 ปี เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในทุกมิติ รวมถึงการเยือนไทยของเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามในปีหน้า
- ทั้งสองฝ่ายยังหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและสถานการณ์ไทย - กัมพูชา ซึ่งรัฐมนตรีฯ กล่าวถึงมุมมองของฝ่ายไทยว่า มีความมุ่งมั่นจะกลับไปสู่สันติภาพ แต่ต้องบริหารจัดการสถานการณ์ปัจจุบันให้ผ่านไปก่อน ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามขอบคุณที่ฝ่ายไทยแจ้งถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ทราบ โดยแสดงความห่วงกังวลต่อการปะทะและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นอันส่งผลต่อประชาชน ไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดของเวียดนาม และเวียดนามในฐานะประเทศที่เคยผ่านสงครามมาหลายทศวรรษ จึงเข้าใจความทุกข์ยากของประชาชน และผลกระทบในเชิงลบต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค เวียดนามจึงประสงค์จะเห็นทั้งสองประเทศยุติการสู้รบและมีการพูดคุยกันโดยเร็ว ซึ่งเวียดนามพร้อมจะสนับสนุนในการทำให้เกิดแก้ไขปัญหา รวมถึงประสงค์เห็นบทบาทของอาเซียนในการสนับสนุนดังกล่าวด้วย
3. การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
- ปัญหาอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต (online scams) เป็นเรื่องที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคต่าง ๆ ประสบร่วมกัน และเป็นประเด็นที่ไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชามาร่วมมือกับไทยเพื่อแก้ไขปัญหามาโดยตลอด
- กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) จะร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ระหว่างวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2568 ที่โรงแรม InterContinental กรุงเทพฯ โดยจะเป็นการประชุมหนึ่งวันครึ่ง นอกจากนี้ จะมีการแถลงข่าวผลการประชุมในช่วงสายของวันที่ 18 ธันวาคม 2568
- การประชุมฯ เป็นการดำเนินการตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศต่อที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 เมื่อเดือนตุลาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อต่อยอดและสานต่อความพยายามในการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ อาทิ อาเซียน เอเปค และสหประชาชาติ ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อความท้าทาย และอุดช่องว่างในทางปฏิบัติต่าง ๆ
- นายกรัฐมนตรีจะกล่าวเปิดการประชุม และเลขาธิการสหประชาชาติ และข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจะร่วมกล่าวเปิดการประชุมผ่านระบบวิดีทัศน์ รวมถึงผู้แทนสำนักงาน UNODC ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก
- ในชั้นนี้ มีผู้แทนระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสจากประเทศในภูมิภาคต่างๆ ที่ตอบรับเข้าร่วม อาทิ จีน สหรัฐฯ อินโดนีเซีย เมียนมา รวันดา และเคนยา และมีผู้แทนจากจากองค์กรระหว่างประเทศ ภาคเอกชน (ภาคการเงิน ภาคเทคโนโลยี) และภาคประชาสังคม อาทิ ศูนย์ Centre for Humanitarian Dialogue ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่สวิตเซอร์แลนด์ และ META สิงคโปร์ เข้าร่วม ซึ่งสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการร่วมกันแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหา online scams โดยผลลัพธ์ของการประชุมฯ คือ เอกสารถ้อยแถลงร่วมเพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนในเรื่องนี้ พร้อมข้อเสนอแนะในทางปฏิบัติทางความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://fb.watch/D-I_-HTLfP/