นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์รา และคณะ เดินทางเยือนนครโฮบาร์ต รัฐแทสเมเนียระหว่างวันที่ 3 – 7 พฤศจิกายน 2556
1) วันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2556 เวลา 11.00 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงแคนเบอร์ราพร้อมด้วย ดร.วนิดา กาเนิดเพ็ชร์ อัครราชทูต
ที่ปรึกษาฝ่ายการเกษตร และนางสาวสุรัชญา พลาวงศ์ เลขานุการเอก ได้เดินทางไปกราบนมัสการพระภิกษุสงฆ์ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดไทยในนครโฮบาร์ต รัฐแทสเมเนีย
ในโอกาสดังกล่าว เอกอัครราชทูตฯ ได้ทำบุญตักบาตร รวมทั้งพบปะและร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับชุมชนชาวไทย พร้อมทั้งแจ้งข่าวให้ชาวไทยในรัฐแทสเมเนียได้รับทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานเทศน์มหาชาติสามัคคีเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นที่วัดธัมมธโร กรุงแคนเบอร์รา ในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2556 รวมทั้งได้เชิญชวนให้ชาวไทยในรัฐแทสเมเนียเข้าร่วมงานเทศน์มหาชาติฯโดยพร้อมเพรียงกันด้วย นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยังได้หารือกับคณะสงฆ์และชุมชนชาวไทยในการจัดงานวันสงกรานต์และทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อหารายได้สมทบทุนสาหรับทำนุบารุงวัดไทยในนครโฮบาร์ตในช่วงเดือนเมษายน 2557 โดยให้สถานเอกอัครราชทูตฯ และวัดไทยใน
นครโฮบาร์ตเป็นผู้จัดงานร่วมกัน เพื่อเป็นแรงดึงดูดและระดมจิตศรัทธาของชุมชนไทยในรัฐแทสเมเนียมาร่วมงานใหญ่ในครั้งนี้ได้อย่างทั่วถึง
เวลา 13.30 น. เอกอัครราชทูตฯ พร้อมด้วย ดร.วนิดา ฯ และนางสาวสุรัชญาฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงเรียนสอนภาษาไทยวันอาทิตย์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยชุมชนชาวไทยและมีนางกัลยา เจริญฤทธิ์ เป็นครูผู้ฝึกสอน โรงเรียนสอนภาษาไทยวันอาทิตย์นี้ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมด 9 คนเป็นบุตรของชาวไทยที่ประกอบอาชีพอยู่ในนครโฮบาร์ต รัฐแทสเมเนีย นอกจากการเรียนการสอนภาษาไทยแล้ว โรงเรียนฯ ยังจัดให้มีกิจกรรมเข้าจังหวะและฝึกฝนการรำไทย เพื่อเป็นการเผยแพร่ศิลปะและวัฒนธรรมของไทยด้วย
ในโอกาสเดียวกันนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้ร่วมหารือกับครูฝึกสอนและคณะผู้ปกครองเกี่่ยวกับการร่วมกันผลักดันให้การเรียนการสอนภาษาไทยของโรงเรียนฯ ได้รับการยอมรับและบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของรัฐแทสเมเนียอย่างเป็นทางการด้วย
2) วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.00 น. เอกอัครราชทูตฯ พร้อมด้วย ดร.วนิดาฯ และนางสาว สุรัชญาฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานกุ้งล็อบสเตอร์ของบริษัท South Australian Lobster โดยบริษัทฯ รับซื้อกุ้งล็อบสเตอร์ ที่มีชีวิตจากเรือประมงในเขตทะเลลึกตอนใต้ของประเทศออสเตรเลียแล้วนามาปรับสภาพเพื่อแพ็คและส่งไปจำหน่ายทั่วประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ รวมทั้งส่งออกไปยังต่างประเทศ ในโอกาสดังกล่าว เอกอัครราชทูตฯ ได้ร่วมหารือกับนาย Michael Blake ผู้จัดการของบริษัทฯ รัฐแทสมาเนีย และนาย Rodney Treloggen หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของ Tasmanian Rock Lobster Fishermen's Association เพื่อส่งเสริมให้นักธุรกิจออสเตรเลียทำธุรกิจเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ร่วมกับนักธุรกิจชาวไทยในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในประเทศและสำหรับส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง การประกอบธุรกิจร่วมกันนี้จะเป็น การยกระดับและพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมการประมงของไทย ซึ่งปัจจุบันมีขีดความสามารถสูงอยู่แล้วให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก พร้อมกับสร้างองค์ความรู้และเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงกุ้งล็อปสเตอร์ ซึ่งเป็นสัตว์น้ำที่มีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาดจำนวนมาก การหารือกันในครั้งนี้ได้เน้นเรื่องการนำเทคโนโลยีของออสเตรเลียไปเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ พันธุ์ Tropical ที่มีอยู่ทั้งในประเทศออสเตรเลียตอนเหนือและในประเทศไทยด้วย
เวลา 14.00 น. เอกอัครราชทูตฯ พร้อมด้วย ดร.วนิดาฯ และนางสาวสุรัชญาฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมบริษัท Tas Live Abalone ซึ่งเป็นโรงงานผลิตหอยเป๋าฮื้อใหญ่ที่สุดของรัฐแทสเมเนีย บริษัทฯ มีกระบวนการผลิตหอยเป๋าฮื้อที่ทันสมัยทั้งแบบอบแห้ง แช่แข็ง และการใช้ liquid ethanol ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ของญี่ปุ่นที่สามารถรักษาความสดของหอยเป๋าฮื้อไว้ได้มากที่สุด เอกอัครราชทูตฯ ได้ใช้โอกาสนี้หารือกับนาย Mark Daft ผู้บริหารของบริษัทฯ เกี่ยวกับการร่วมลงทุนกับนักธุรกิจของไทยในการเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้อในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีนักธุรกิจไทยหลายรายประกอบธุรกิจทาฟาร์มเพาะเลี้ยงหอยเป๋าฮื้ออยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย การนำนักธุรกิจจากออสเตรเลียไปร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการของไทยจะทำให้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยถ่ายทอดไปยังผู้ประกอบการของไทย ในขณะเดียวกัน ก็จะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการของออสเตรเลีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย
3) วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.00 น. เอกอัครราชทูตฯ พร้อมด้วย ดร.วนิดาฯ และนางสาว สุรัชญาฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมสถานีเพาะพันธุ์ฟาร์มหอยนางรมของบริษัท Shellfish Culture Limited ซึ่งประกอบธุรกิจเพาะพันธุ์หอยนางรม เมื่อเพาะพันธุ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว บริษัทฯ จะจำหน่ายหอยนางรม ให้แก่บริษัทลูกค้า เพื่อนำไปเพาะเลี้ยงต่อไป ในช่วงบ่าย คณะได้เดินทางไปบริษัท Tas Prime Oysters P/L (ซึ่งเป็นบริษัทลูกค้าของบริษัท Shellfish Culture Limited) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับขั้นตอนการเพาะเลี้ยงหอยนางรมจนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยว ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้หารือกับนาย Kerry Wellis จากบริษัท Shellfish Culture Limited และนาย James Calvert จากบริษัท Tas Prime Oysters P/L เพื่อเชิญชวนให้บริษัทดังกล่าวพิจารณาร่วมประกอบธุรกิจเพาะเลี้ยงหอยนางรมแบบครบวงจรกับนักธุรกิจของไทยด้วย ปัจจุบันประเทศไทยมีเทคโนโลยีการทำอุตสาหกรรมการประมงอยู่ในระดับแนวหน้าของทวีปเอเชีย หากได้ผสมผสานกับเทคโนโลยีของออสเตรเลียด้วยจะทำให้นักธุรกิจของทั้งสองประเทศสามารถพัฒนาศักยภาพการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มร่วมกันได้มากยิ่งขึ้น
4) วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2556 เวลา 09.00 น. เอกอัครราชทูตฯ พร้อมด้วย ดร.วนิดาฯ และนางสาว สุรัชญาฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมฟาร์มหอยแมลงภู่ของบริษัท Spring Bay Seafood ซึ่งทำอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่แบบครบวงจรตั้งแต่การผสมพันธุ์ การเลี้ยง และการเก็บเกี่ยวผลผลิต อุตสาหกรรมการผลิตหอยแมลงภู่สามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้อีกมาก เนื่องจากอุปสงค์ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทวีปเอเชียโดยเฉพาะการบริโภคหอยแมลงภู่สด ธุรกิจการเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่ของออสเตรเลียมีขั้นตอนและเทคโนโลยีที่ทันสมัยเมื่อนำมาผสมผสานเข้ากับวิธีการเพาะเลี้ยงในประเทศไทยก็จะตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้มากขึ้น โอกาสที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่ของผู้ประกอบการไทยกับออสเตรเลียประกอบด้วย (1) การผสมข้ามสายพันธุ์ (hybride) ระหว่างสายพันธุ์ Tropical ของไทยกับสายพันธุ์เมดิเตอร์เรเนียนของออสเตรเลียเพื่อเพาะเลี้ยงและเก็บเกี่ยวแบบครบวงจร (2) การนาตัวอ่อนหอยแมลงภู่สายพันธุ์เมดิเตอร์เรเนียนของออสเตรเลียมาเพาะเลี้ยงในประเทศไทย (3) การนาหอยแมลงภู่ต้มสุกมาสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการผลิตเป็นอาหารสาเร็จรูป เอกอัครราชทูตฯ ได้ถือโอกาสหารือกับนาย Phil Lamb ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ เพื่อต่อยอดการร่วมดำเนินธุรกิจการเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่กับผู้ประกอบการของไทยด้วย
เวลา 11.30 น. เอกอัครราชทูตฯ พร้อมด้วย ดร.วนิดาฯ และนางสาวสุรัชญาฯ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานสกัดน้ำมันสาหรับใช้ในอุตสาหกรรมการประกอบอาหารสัตว์และปุ๋ยธรรมชาติที่ผลิตจากซากเหลือใช้ของปลาแซลมอนของบริษัท Sea Fish Tasmania ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ส่งออกน้ำมันสกัดดังกล่าวให้กับผู้ประกอบธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ในประเทศอินโดนีเซียและประเทศไทย ในโอกาสนี้ เอกอัครราชทูตฯ ได้หารือกับผู้บริหารของบริษัทฯ ถึงความเป็นไปได้ในการประกอบธุรกิจร่วมกันกับผู้ประกอบการของไทย
ในการนำซากเหลือใช้ของปลาแซลมอนไปผลิตน้ำมันสาหรับอาหารสัตว์ในประเทศไทย เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับการถ่ายทอดขั้นตอนการสร้างมูลค่าเพิ่มของการผลิต
รวมถึงเป็นการลดต้นทุน การผลิตให้กับผู้ประกอบการออสเตรเลียและใช้ศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นประเทศผู้นำและการมีขีดความสามารถที่สาคัญในกระบวนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม (manufacturing) ด้วย