เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๘ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๐.๓๐ น. นายธีรกุล นิยม เอกอัครราชทูต ประจำสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับเชิญเป็นวิทยากรร่วมในการอภิปรายหัวข้อ “ภาพรวมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน” แก่คณะผู้รับการฝึกอบรมนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง รุ่นที่ ๖๓ จำนวน ๑๑๕ คน ณ โรงแรม Holiday Inn Chang An West Beijing โดยมีนายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร อัครราชทูต สำนักงานฝ่ายพาณิชย์ และนางอุไร สุวรรณวงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ สถานเอกอัครราชทูตฯ ร่วมเป็นวิทยากรด้วย
เอกอัครราชทูต ฯ บรรยายสรุปภาพรวมพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจจีนในช่วงที่ผ่านมา และกล่าวถึงจุดเด่นของจีน คือ ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจีนมีความมั่งคั่งและขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ ๒ ของโลก ตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ และมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราร้อยละ ๗ ต่อปี โดยมีนโยบายที่เน้นการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศและนวัตกรรม ด้านความมั่นคง จีนเป็น ๑ ใน ๕ ประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของสภาความมั่นคงของสหประชาชาติ กองทัพปลดปล่อยประชาชน ฯ (People’s Liberation Army – PLA) เป็นกองทัพที่ใหญ่ที่สุดในโลก จีนจึงเป็นมหาอำนาจในเอเชียและมีนโยบายที่จะเพิ่มบทบาทในกจิการของภูมิภาคและโลกในทุกด้าน ด้านสังคม จีนเป็นอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ทางประวัติศาสร์ที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ยังเป็นประเทศที่หลากหลายโดยมีกลุ่มชนชาติทั้งหมด ๕๖ ชนชาติ ส่วนด้านการบริหารประเทศ จีนอยู่ภายใต้การปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เป็นระบบการเมืองแบบกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง และมีการเลือกผู้นำอย่างมีระบบ ซึ่งได้รับความชอบธรรมจากประชาชนจีน เนื่องจากสามารถพัฒนาเศรษฐกิจ สร้างเสถียรภาพ ฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจีน ตลอดจนเป็นศูนย์รวมของประเทศ
เอกอัครราชทูตฯ ได้กล่าวเรื่อง การประชุม “สองสภาฯ ” ของจีน ได้แก่ สภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People’s Congress-NPC) และสภาที่ปรึกษาการเมืองแห่งชาติจีน (Chinese People’s Political Consultative Conference-CPPCC) ระหว่างวันที่ ๓ - ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๘ ที่รายงานผลงานและแผนปฎิบัติของรัฐบาลจีน และหลักทฤษฎีการเมืองใหม่ “สี่ด้านถ้วนทั่ว” (Four comprehensives) ของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้แก่ สร้างสังคมมีกินแบบพอเพียง ลงลึกการปฏิรูป ปกครองประเทศตามหลักนิติรัฐ และเข้มงวดวินัยพรรคคอมมิวนิสต์ ฯ อันถือเป็นนโยบายที่มีนัยเชิงสำคัญทางการบริหารประเทศภายใต้แกนนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
เอกอัครราชทูตฯ เห็นว่า จีนสามารถพัฒนามาถึงปัจจุบัน เนื่องจาก
(1) นโยบายที่ต่อเนื่องตามการกำหนดชี้นำ/การบริหารโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ฯ ซึ่งเป็นศูนย์รวมสำหรับประเทศ
(2) เป็นประเทศที่มีการสะสมทางภูมิปัญญา
(3) คนจีนโดยรวมมีความสามารถด้านการค้าขาย
(4) จีนได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ พื้นที่ในการผลิต จำนวนแรงงาน/บุคคลากร และทรัพยากร
(5) จีนเน้นการพัฒนาและปฎิรูปการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อสะท้อนความเป็นจริง ขณะเดียวกัน จีนก็เผชิญกับความท้าทายในหลายด้าน อาทิ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม มลภาวะสิ่งแวดล้อม คอรัปชั่น การรักษาความชอบธรรมของพรรคฯ และระบบการเมืองที่ยังปิดขัดกับกระแสโลกาภิวัฒน์ ตลอดจนบทบาทในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการหาจุดสมดุลกับประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ หรือกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญในเวทีระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตฯ ยังได้บรรยายสรุปเรื่อง ภาพรวมความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งดีในทุกมิติ และปีนี้ เป็นปีมหามงคล เนื่องจากเป็นปีที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระชนมายุครบ ๕ อีกทั้งเป็นปีครบรอบ ๔๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ซึ่งจะเป็นโอกาสดีในการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันในมิติต่าง ๆ อาทิ โครงการความร่วมมือด้านรถไฟ จีนให้ความสำคัญไทย ในฐานะประเทศหุ้นส่วนทางยุธทศาสตร์อย่างรอบด้าน และมีบทบาทสำคัญในกรอบอาเซียน ซึ่งเกี่ยวโยงกับนโยบายต่างประเทศของจีน โดยเฉพาะการส่งเสริมเส้นทางสายไหมในศตวรรษที่ ๒๑ และความเชื่อมโยง (connectivity) ในภูมิภาค ที่สำคัญ ไทยไม่เคยมีข้อบาดหมางรุนแรง อย่างไรก็ดี ด้วยศักยภาพด้านเศรษฐกิจของจีนในปัจจุบัน ทำให้จีนมีทางเลือกมากขึ้นในการมีความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ที่สามารถเกื้อกูลผลประโยชน์ที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นไทยจำเป็นไม่ละเลย โดยจำเป็นรักษาและเสริมสร้างสถานะ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไป ในช่วงหลัง เอกอัครราชทูตฯ ได้ตอบคำถามจากคณะในประเด็นที่หลากหลายเกี่ยวกับจีน และความสัมพันธ์ไทย-จีน