พาณิชย์นำ SME ไทยบุกตลาดสหรัฐฯ แนะแนวทางส่งออกสินค้าไทย

พาณิชย์นำ SME ไทยบุกตลาดสหรัฐฯ แนะแนวทางส่งออกสินค้าไทย

วันที่นำเข้าข้อมูล 6 พ.ย. 2558

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 5 พ.ย. 2562

| 582 view
            นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้ส่งออกสินค้าไทยในธุรกิจอาหาร เสื้อผ้าเครื่องประดับ สปา และอัญมณี รวม ๒๕ ราย พบกับผู้นำเข้า นักธุรกิจและผู้กระจายสินค้าในสหรัฐฯ เพื่อเปิดช่องทางคู่ค้าและสำรวจความต้องการของผู้บริโภคในนครลอสแอนเจลิส ระหว่างวันที่ ๓- ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
 
            เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ กงสุลใหญ่เจษฎา กตเวทิน เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำที่บ้านพักกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ให้ผู้ส่งออกไทยพบพูดคุยรับฟังข้อแนะนำการเจาะตลาดสหรัฐฯ จากผู้ประกอบการไทยในสหรัฐฯ ที่ประสบความสำเร็จ ได้แก่ คุณดวงใจ กูรมะโรหิต เจ้าของบริษัท ดีพีเทรดดิ้ง ผู้บุกเบิกการนำเข้าผักผลไม้ไทย คุณวิชัย ติลกมนกุล เจ้าของบริษัท บางกอกมาเก็ต ผู้นำเข้าสินค้าอาหาร และคุณทัศรินทร์ ลินไพศาล เจ้าของบริษัท American Commercial Transport ผู้ขนส่งสินค้าทางเรือ Freight Forwarder / Custom Broker ซึ่งทั้งสามท่านเน้นย้ำสิ่งสำคัญให้ผู้ส่งออกไทยปฏิบัติตามกฎระเบียบการค้าและการนำเข้าของสหรัฐฯ อย่างเคร่งครัด
 
            ท่านทูตพิศาล มาณวพัฒน์ ได้ชี้ถึงความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ในแง่มุมเศรษฐกิจการค้าและสิ่งที่ไทยจะต้องผลักดันเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทย รัฐบาลมุ่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคของไทยที่สะสมมานาน และขณะนี้ถือเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถดำเนินการเร่งด่วนเพื่อลดอุปสรรคที่มีอยู่ให้น้อยลงและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งสินค้าได้มากขึ้น โดยในประเด็นสำคัญขณะนี้คือ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมายที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์สินค้าประมงของไทยในตลาดสหรัฐฯ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังต่อเนื่องและเชื่อว่าไทยจะได้ปรับอันดับดีขึ้น นอกจากนี้ การยกระดับมาตรฐานต่าง ๆ ทั้งเรื่องแรงงาน สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา ก็จะช่วยส่งเสริมให้ไทยเตรียมความพร้อมต่อผลกระทบของความตกลง TPP
 
            การลงทุน ๒ ฝ่าย ทั้งจากสหรัฐฯ ในประเทศไทยและจากไทยในสหรัฐฯ ต่างมีความสำคัญ สหรัฐฯ ลงทุนในอาเซียนมากกว่าการลงทุนในญี่ปุ่นและจีนรวมกัน และการลงทุนของสหรัฐฯในอาเซียนกว่า ๒๐๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นการลงทุนในประเทศไทยถึง ๕๐ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญดึงนักลงทุนต่างชาติมาเพิ่มขึ้น โดยกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์การลงทุนเป็นพิเศษทั้งแบบ Cluster และ Super Cluster รวมทั้งการปฏิรูประบบศุลกากรเพื่อรองรับการค้าการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
            การลงทุนจากไทยไปสหรัฐฯ มีส่วนสำคัญที่จะเพิ่มความสำคัญของไทยในภาคการเมืองสหรัฐฯ ให้ช่วยปกป้องผลประโยชน์คนไทย ตัวอย่างสำคัญของบริษัทไทย เช่น บริษัท Thai Summit ในมลรัฐมิชิแกน ที่ว่าจ้างชาวอเมริกันท้องถิ่นในเขตเมืองที่โรงงานตั้งอยู่กว่าร้อยละ ๑๐ ทำให้ ส.ส. และนักการเมืองท้องถิ่นให้ความสำคัญสนับสนุนมาก บริษัท ปตท.เคมีภัณฑ์ ที่เริ่มลงทุนในมลรัฐโอไฮโอ ผู้ว่าการรัฐซึ่งจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีก็ปรับกำหนดการหาเสียงเพื่อมาเข้าร่วมพิธีเปิดโครงการ รวมทั้งบริษัทใหญ่ของไทยอีกหลายแห่ง เช่น SCG CP Thai Union ก็เป็นตัวอย่างการลงทุนไทยในสหรัฐฯ ที่ช่วยผลักดันการทำงานของสถานทูตในรัฐสภาสหรัฐฯ ได้ดี
 
            ในส่วนของ SME ซึ่งกระทรวงพาณิชย์นำคณะนักธุรกิจไทยเพื่อให้เห็นโอกาสการค้าการลงทุนในสหรัฐฯ ก็อยากให้ SME ไทยเพิ่มมูลค่าและยกระดับสินค้าไทยให้สามารถป้อนตลาดระดับสูงของสหรัฐฯ ซึ่งคนไทยสามารถทำได้ และมีตัวอย่างให้เห็นหลายธุรกิจ เช่น เครื่องประดับของคุณ Nini ที่เท็กซัส เฟอร์นิเจอร์ของคุณตุ้ยที่ไมอามี
 
            เพื่อช่วยส่งเสริมธุรกิจ SME ของไทยในตลาดสหรัฐฯ สถานทูตได้จัดจ้างสมาคมนักวิชาชีพไทยในอเมริกาและแคนาดา (ATPAC) ทำโครงการเอ็กซ์เรย์สหรัฐฯ เพื่อทำเว็บไซต์ฐานข้อมูลอาชีพคนไทยในรัฐสำคัญที่มีคนไทยจำนวนมากเพื่อสร้างเครือข่ายให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถติดต่อพูดคุยช่วยเหลือให้ข้อมูลเพื่อนนักธุรกิจคนไทยด้วยกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและจะแล้วเสร็จในเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ ข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อผู้ประกอบการคนไทย ทั้งนี้ สถานทูตยินดีที่จะรับฟังข้อคิดเห็นของผู้ประกอบการธุรกิจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะเปิดให้บริการข้อมูลทางเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงให้ข้อมูลตอบสนองความต้องการและประโยชน์สูงสุดของคนไทย
 
           สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ที่สุดของไทย ปัจจุบันถือเป็นตลาดส่งออกอันดับ ๑ ของไทย มูลค่าการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ สูงประมาณปีละกว่า ๓๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยตัวเลขการค้าไทย-สหรัฐฯ ยังเป็นบวกในช่วง ๗ เดือนแรกของปี ๒๕๕๘ และมูลค่่าการค้าเพิ่มประมาณร้อยละ ๑.๓

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ