สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตูจัดกิจกรรม "50 Years of Thailand-China Diplomatic Relations: Bridging Thai-Chinese Medical Innovations with Thailand as Asia's Medical Hub" เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน
ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๖ เมษายน ๒๕๖๘ นายวิธวินห์ โตเกียรติรุ่งเรือง กงสุลประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตูนำคณะนักลงทุนจีนที่มีศักยภาพในด้านอุตสาหกรรมการแพทย์จีนรวมกว่า ๒๐ คนเข้าศึกษาลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย เพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมการแพทย์ที่ทันสมัยของจีนเข้าลงทุนในไทย ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทย รวมถึงสนับสนุนห่วงโซ่อุปสงค์อุปทานเครื่องมือการแพทย์ในไทยให้มีความสมบูรณ์ และทันสมัย
นักลงทุนจีนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ประกอบด้วยผู้แทนสมาคมอุปกรณ์การแพทย์และผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์สมัยใหม่ เช่น การตรวจโรค ๕๕ รายการโดยใช้เลือดเพียงหยดเดียว การสร้างภาพโฮโลแกรมอวัยวะภายในสำหรับแพทย์ใช้วิเคราะห์โรค เพื่อลดการสัมผัสและการติดเชื้อ เป็นต้น
คณะฯ ได้เข้าพบกับประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ผู้บริหารกลุ่มบริษัทอเด็คโก้ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน รองอธิบดีกรมการแพทย์ ผู้อำนวยการกองควบคุมเครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ รวมถึงได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมดพาร์ค ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท
ทั้งนี้ ในห้วงการหารือกับประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม รัฐสภา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนจากบริษัท CMVR ในฐานะผู้แทนของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งประเทศจีนได้เชิญไทยเป็นประเทศเกียรติยศในงาน World New Energy Vehicle Congress (WNEVC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นที่มณฑลไห่หนาน ในเดือนกันยายน ๒๕๖๘
ระหว่างการหารือกับหน่วยงานต่างๆ คณะนักลงทุนจีนได้สร้างเครือข่ายกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนไทย เพื่อหารือการสร้างความร่วมมือระหว่างกันในอนาคตต่อไป
การเยือนไทยของคณะนักลงทุนจีนในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดเวทีให้ภาคเอกชนจากจีนได้สัมผัสศักยภาพของระบบสาธารณสุขและอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยแล้ว การลงทุนหลังจากการเยือนของคณะจะช่วยยกระดับความสามารถในการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์ภายในประเทศลดการพึ่งพาการนำเข้า เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันในอุตสาหกรรมบริการสุขภาพ ซึ่งจะนำไปสู่คุณภาพการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นในราคาที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังเอื้อต่อการจ้างงาน การถ่ายทอดองค์ความรู้ และการพัฒนาบุคลากรด้านการแพทย์และสาธารณสุขในประเทศอย่างเป็นระบบ ถือเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพของอาเซียนอย่างแท้จริง