กระทรวงการต่างประเทศนำคณะเยือนเมืองเจนไนและเมืองบังคาลอร์ อินเดีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและปัญญาประดิษฐ์

กระทรวงการต่างประเทศนำคณะเยือนเมืองเจนไนและเมืองบังคาลอร์ อินเดีย เพื่อส่งเสริมความร่วมมือสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและปัญญาประดิษฐ์

วันที่นำเข้าข้อมูล 26 ก.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 26 ก.ย. 2568

| 56 view

เมื่อวันที่ 15 - 20 กันยายน 2568 นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ร่วมกับผู้แทนสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ นำคณะภาคเอกชนสตาร์ทอัพไทยด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและปัญญาประดิษฐ์จำนวน 8 ราย เยือนเมืองเจนไน รัฐทมิฬนาฑู และเมืองบังคาลอร์ รัฐกรณาฏกะ ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางการผลิตและการพัฒนาสตาร์ทอัพของอินเดีย เพื่อแสวงหาความร่วมมือด้านสตาร์ทอัพและผลักดันการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพระหว่างไทยกับรัฐทมิฬนาฑูและรัฐกรณาฏกะในหลายด้าน อาทิ การบริหารจัดการเมืองด้วยเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการคิดค้นนวัตกรรมด้วยเทคโนโลยีเชิงลึก (DeepTech)

คณะผู้แทนไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะผู้แทนระดับสูงของรัฐบาลรัฐทมิฬนาฑูและรัฐกรณาฏกะ และพบหารือกับหน่วยงานสำคัญ ได้แก่ (1) ศูนย์ Chennai Smart City, Greater Chennai Corporation (2) ศูนย์ NIRMAAN ซึ่งเป็น pre-incubator ของมหาวิทยาลัย Indian Institute of Technology - Madras มหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมอันดับ 1 ของอินเดีย และ (3) ศูนย์ i-Tamil Nadu Technology (iTNT) Hub (4) Karnataka Innovation and Technology Society (KITS) ภายใต้ Department of Electronics, IT & Biotechnology รัฐกรณาฏกะ (5) สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ (National Association of Software and Service Companies – NASSCOM) (6) ศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพ NSRCEL ภายใต้มหาวิทยาลัย Indian Institute of Management – Bengalore เพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งรวมถึง AI, IoT, DeepTech, FinTech, EdTech มาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย - อินเดีย ซึ่งเป็นโอกาสในการแลกเปลี่ยนบุคลากรและการถ่ายทอดเทคโนโลยีระหว่างกัน การบ่มเพาะและสร้างระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ ตลอดจนการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างสตาร์ทอัพไทยกับรัฐทมิฬนาฑูและรัฐกรณาฏกะด้วย

การเยือนครั้งนี้ช่วยเปิดโอกาสให้ประเทศไทยในการพัฒนาระบบนิเวศด้านสตาร์ทอัพ การเรียนรู้และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีขั้นสูงระหว่างกัน ทั้งยังช่วยให้ทั้งสองประเทศเตรียมรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ