สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 เวลา 16.30 น.

สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 เวลา 16.30 น.

วันที่นำเข้าข้อมูล 20 ส.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 21 ส.ค. 2568

| 115 view

สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์

โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

วันพุธที่ 20 สิงหาคม 2568 เวลา 16.30 น.

ณ ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กต.

 

  1. สถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา

    1.1 การลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT)

  • ระหว่างวันที่ 18 - 20 สิงหาคม 2568 คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team: IOT) ประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารจาก 8 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย บรูไน สปป.ลาว อินโดนีเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และเวียดนาม ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ โดยกองทัพบกได้จัดกำหนดการที่ครอบคลุมเพื่อให้คณะฯ ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชาและการขัดขวางการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ

 

  • คณะฯ ได้เดินทางไป (1) สังเกตการณ์พื้นที่ช่องอานม้า ฐานกฤษณา และช่องจุ๊บตะโมก เพื่อสำรวจพื้นที่ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด (2) เยี่ยมชมการปฏิบัติงานของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมที่ฐานปราบศึก (3) ดูหนึ่งในแนวปะทะที่สำคัญที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ (4) ตรวจเยี่ยมสถานที่ควบคุมตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 คน และ (5) สำรวจโรงพยาบาลพนมดงรักที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีอย่างไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา

 

  • มีรายงานว่า ระหว่างลงพื้นที่บริเวณช่องอานม้า มีทหารกัมพูชาพยายามขัดขวางการสังเกตการณ์ของคณะฯ และสื่อมวลชน ซึ่งฝ่ายไทยขอแสดงความผิดหวังอย่างยิ่งต่อการสร้างสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจของกัมพูชาในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง

 

  • ทั้งนี้ ฝ่ายไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้จะทำให้คณะ IOT ได้เห็นหลักฐานเชิงประจักษ์ด้วยตาตนเอง ที่ไม่มีการจัดฉาก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสและความจริงใจของฝ่ายไทยในการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ต่างจากฝ่ายกัมพูชาที่พยายามจัดฉากเหตุการณ์และปล่อยข่าวบิดเบือนต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง

    1.2 การดำเนินการในกลไกทวิภาคีและพหุภาคี

  • ฝ่ายไทยยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหากับกัมพูชาโดยสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC)

 

  • เมื่อวันที่ 15 - 16 สิงหาคม 2568 กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราดของไทย และภูมิภาคทหารที่ 3 ของกัมพูชา ได้จัดประชุม RBC สมัยวิสามัญ ที่จังหวัดตราด แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงบ่ายเบี่ยงไม่ตอบรับที่จะหารือ 2 ประเด็นสำคัญที่ไทยหยิบยก คือ (1) การเก็บกู้ทุ่นระเบิด และ (2) การปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์

 

  • อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ อีก 3 รายการ ในกรอบ RBC ที่จะมีขึ้นตลอดช่วงสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า รวมถึงกรอบ GBC ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งฝ่ายไทยจะเดินหน้าผลักดันความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นประเด็นเร่งด่วน อย่างต่อเนื่อง และหวังว่า ฝ่ายกัมพูชาจะเข้าร่วมการหารือในกรอบดังกล่าวด้วยความจริงใจและสุจริตใจเช่นกัน

 

  • ในส่วนของการดำเนินการในกรอบพหุภาคีในเรื่องการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของฝ่ายกัมพูชา รัฐบาลไทยดำเนินการเต็มที่และต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยได้มีหนังสือถึงญี่ปุ่น ประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 รวม 4 ฉบับ นับตั้งแต่ทหารไทยประสบเหตุเหยียบกับระเบิดครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568

 

  • เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้เข้าประชุมเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาของกัมพูชาต่อคณะกรรมการการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ (Committee on Cooperative Compliance) และจะเข้าพบหารือกับคณะกรรมการฯ อีกครั้ง ในวันที่ 22 สิงหาคม 2568 เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและหลักฐานเพิ่มเติมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อเรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดพันธกรณีฯ และแสดงความรับผิดชอบในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาฯ

 

  • เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า ตามคลิปวิดีโอและภาพถ่ายทหารกัมพูชากำลังวางทุ่นระเบิดในไทยที่กองทัพบกเผยแพร่ จะมีการนำข้อมูลที่ตรวจสอบไปประกอบเป็นหลักฐานฟ้องกัมพูชาในกรอบอนุสัญญาออตตาวาที่กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างดำเนินการ เพื่อนำเสนอข้อเท็จจริงและหลักฐานเพิ่มเติมของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

 

  • ประเทศไทยเห็นว่า บทบาทที่สร้างสรรค์และความมุ่งมั่นในการกวาดล้างทุ่นระเบิดในอดีตที่กัมพูชามักกล่าวอ้าง แม้จะเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่ไม่ได้เป็นเครื่องประกันว่า กัมพูชาจะไม่ใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอีก ดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์และหลักฐานที่ชัดเจนในการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดในแผ่นดินไทย แสดงถึงความไม่จริงใจของกัมพูชา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดาย

    1.3 การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของฝ่ายกัมพูชา รวมถึงกรณีพื้นที่บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว

  • ที่ผ่านมา ยังคงมีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารและการนำเสนอข่าวปลอมของกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนใช้วิจารณญาณในการบริโภคข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ อย่างรอบคอบ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิด

 

  • ตัวอย่างล่าสุด คือ การกล่าวหาว่า ฝ่ายไทยวางลวดหนามในพื้นที่อธิปไตยของกัมพูชา บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ซึ่งกองทัพบกได้ออกมาชี้แจงแล้ว และกระทรวงฯ ได้ออกแถลงการณ์ด้วยแล้วเช่นกัน

 

  • พื้นที่บ้านหนองจาน เดิมเคยใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวของชาวกัมพูชาที่หนีภัยจากการสู้รบในอดีตเข้ามาในประเทศไทย และต่อมา ฝ่ายกัมพูชาได้ขยายชุมชนออกไป ซึ่งถือเป็นการละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 โดยฝ่ายไทยได้คัดค้านและดำเนินการประท้วงการล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ของไทยดังกล่าวมาโดยตลอด

 

  • ประเทศไทยแสดงความอดกลั้นอย่างสูงสุดมาเป็นระยะเวลาหลายปี และยึดมั่นในการดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ดี แต่ฝ่ายกัมพูชากลับอาศัยประโยชน์จากการให้ความช่วยเหลือชาวกัมพูชากลุ่มนี้ของไทยในอดีต โดยใช้ประชาชนของตนมารุกล้ำดินแดนอย่างไม่ชอบธรรม ผิดกฎหมาย และเป็นการยั่วยุให้เกิดความตึงเครียดซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เพียงแต่ขาดความจริงใจ แต่ยังสะท้อนถึงเจตนาร้ายที่แท้จริงของฝ่ายกัมพูชา

 

  • การวางลวดหนามในเขตแดนไทยเป็นไปเพื่อปกป้องอธิปไตยของไทย คุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำเพิ่มเติมจากฝ่ายกัมพูชา และป้องกันการเข้ามาวางทุ่นระเบิดโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวไม่ขัดต่อข้อตกลงจากการประชุม GBC ที่ผ่านมา ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะละเว้นจากการก่อสร้างหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางทหารหรือการเสริมความมั่นคงของที่ตั้งทางทหารล้ำออกไปนอกเขตของฝ่ายตน

 

  • ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการแก้ไขความตึงเครียดโดยสันติ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งดังกล่าวฝึกรากลึกลงในจิตใจของประชาชนของทั้งสองประเทศ

 

  1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการ

  • ระหว่างวันที่ 24 - 26 สิงหาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเดินทางเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการ เพื่อประกาศยกระดับความสัมพันธ์ไทย - สวีเดนสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership)

 

  • ในวันที่ 26 สิงหาคม 2568 รัฐมนตรีฯ จะเข้าพบหารือทวิภาคีกับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน ทั้งสองฝ่ายจะร่วมลงนามในเอกสารความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย - สวีเดน (Thailand - Sweden Strategic Partnership) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นทางการเมืองในการส่งเสริมและขับเคลื่อนความร่วมมือในสาขาที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น การกำหนดกลไกการหารือทวิภาคีทางการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ การค้า การลงทุน ความร่วมมือด้านการป้องกันประเทศ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสีเขียว นวัตกรรม การศึกษา และการส่งเสริมความสัมพันธ์ระดับประชาชนทั้งนี้ สวีเดนจะเป็นประเทศที่สองในยุโรปที่มีความสัมพันธ์ระดับ Strategic Partnership ต่อจากสหราชอาณาจักร

 

  • นอกจากนี้ รัฐมนตรีฯ จะหารือกับภาคเอกชนชั้นนำและภาควิชาการของสวีเดน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย และผลักดันความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสีเขียวด้วย

 

  1. การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ครั้งที่ 20 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

  • ปีนี้ ไทยเป็นประธานกรอบความร่วมมือเอเชีย หรือ ACD ภายใต้หัวข้อ "Fostering Asia's Sustainable Growth and Future through Innovation" เน้นความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือ ACD ในสาขาหลัก ซึ่งรวมถึงการพัฒนาที่ยั่งยืน การเงิน การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล การท่องเที่ยว และการศึกษา

 

  • ระหว่างวันที่ 1 - 3 กันยายน 2568 ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ 20 และการประชุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อหารือเกี่ยวกับอนาคตของ ACD และวิธีการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐสมาชิก ซึ่งรวมถึงการยกระดับ ACD สู่การเป็นองค์กรระดับภูมิภาค โดยจะเป็นการต่อยอดจากการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสฯ ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ และวันที่ 18 มิถุนายน 2568

 

  • วันที่ 1 กันยายน 2568 จะเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส วันที่ 2 กันยายน 2568 จะเป็นการประชุมหารือระดับสูง ACD High-level Conference on Global Fiscal and Financial Architecture ที่ไทยเป็นผู้ริเริ่ม โดยจะแบ่งเป็น 3 อภิปรายแบบคณะ (panel discussions) ในหัวข้อ (1) ความยั่งยืนทางการคลังและการเงิน (2) ความปลอดภัยและความครอบคลุมของการเงินดิจิทัล และ (3) การเงินเพื่อเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน และวันที่ 3 กันยายน 2568 จะเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี ACD ครั้งที่ 20

 

  • ACD ก่อตั้งขึ้นโดยการริเริ่มของไทย เมื่อปี 2545 เพื่อเป็นกรอบความร่วมมือและเวทีหารือระดับนโยบายระหว่างประเทศในเอเชีย เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศในเอเชีย รวมถึงเพื่อหาทางออกสำหรับปัญหาและความท้าทายระดับโลกในปัจจุบันร่วมกัน ปัจจุบัน ACD มีสมาชิก 35 ประเทศ

 

  1. การแสดงปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11

  • เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 กระทรวงฯ และสภากาชาดไทยได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพจัดปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11 ที่กระทรวงฯ โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงฟังปาฐกถาฯ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินในทุกครั้ง ตั้งแต่การจัดงานครั้งแรก เมื่อปี 2546

 

  • การจัดปาฐกถาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชนเกี่ยวกับหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและการดำเนินงานด้านมนุษยธรรม ทั้งยังเป็นการดำเนินการตาม 1 ใน 8 คำมั่นของไทย ที่ประกาศไว้ในการประชุมกาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ครั้งที่ 34 เมื่อเดือนตุลาคม 2567 ที่นครเจนีวา เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่การยกย่องและการเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทของไทยในเวทีด้านมนุษยธรรมทั้งในประเทศและนานาชาติ

 

  • ปีนี้ นางมีรยานา สปอลยาริช เอ็กเกอร์ ประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ให้เกียรติมาแสดงปาฐกถาในหัวข้อ “การธำรงไว้ซึ่งความเป็นมนุษย์ในสงครามในยุคปัจจุบัน” (หรือ Upholding Humanity in Contemporary Warfare) ย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความตระหนักรู้และการเคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ทั้งยังเตือนถึงแนวโน้มการใช้ “ข้อมูลข่าวสารเป็นอาวุธ” (หรือ weaponization of information) และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรักษาหลักขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ในยามสงคราม พร้อมยึดมั่นระเบียบโลกบนฐานนิติธรรม

 

  • หัวข้อปาฐกถาในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ทันท่วงทีและสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในฐานะที่ไทยเป็นประเทศที่กำลังได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรงจากการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ รวมถึงโดนโจมตีด้วยการเผยแพร่ข่าวปลอมของกัมพูชา

 

  • นอกจากนี้ คำกราบบังคมทูลถวายรายงานของท่านรัฐมนตรีฯ มีใจความสำคัญว่า การจัดปาฐกถาฯ ครั้งนี้สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของไทยในการธำรงไว้ซึ่งกฎหมายมนุษยธรรมแม้ท่ามกลางความขัดแย้งรุนแรง พร้อมชี้ถึง “มรดก” 150 ปี ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ยืนหยัดในเส้นทางการเจรจา เพื่อแปรความตึงเครียดเป็นความเข้าใจ และเปลี่ยนความเป็นปฏิปักษ์เป็นความร่วมมือ เพราะความสงบสุขไม่ได้เกิดในสนามรบ แต่เกิดขึ้นบนโต๊ะเจรจา และการทูตจะพิสูจน์คุณค่าได้ก็ต่อเมื่อสามารถขจัดความจำเป็นในการใช้อาวุธออกไปได้

สามารรับชมย้อนหลังได้ที่  https://www.facebook.com/share/v/16wA2Go7re/?mibextid=wwXIfr

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ