สรุปการแถลงข่าวระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง วันที่ 27 ตุลาคม 2568

สรุปการแถลงข่าวระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง วันที่ 27 ตุลาคม 2568

วันที่นำเข้าข้อมูล 27 ต.ค. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 27 ต.ค. 2568

| 32 view

สรุปการแถลงข่าว
ระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่
47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง

โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

วันที่ 27 ตุลาคม 2568 เวลา 15.00 น.
ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
 

  • การแถลงข่าววันนี้จะเป็นการสรุปผลการประชุมในกรอบอาเซียนที่สำคัญและการหารือทวิภาคีกับประเทศต่าง ๆ ของคณะผู้แทนไทย นำโดยนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม และช่วงเช้าของวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง
  • แม้จะมีเวลาจำกัด นายกรัฐมนตรีพร้อมเข้าร่วมการประชุม การหารือทวิภาคี และกิจกรรมที่มีความสำคัญต่อไทยให้มากที่สุด เพื่อผลักดันประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ของไทยในระยะยาวในทุกเวทีระหว่างประเทศ แม้รัฐบาลจะมีเวลาทำงานไม่มากก็ตาม
  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นอกเหนือจากที่นายกรัฐมนตรีได้ร่วมลงนามถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมีประธานาธิบดีสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวในเรื่องนี้แล้ว นายกรัฐมนนตรียังได้เข้าร่วมการประชุมในกรอบอาเซียน พบหารือทวิภาคีกับเลขาธิการสหประชาชาติ ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ และกรรมการผู้จัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

1. การประชุมในกรอบอาเซียน

  • ไทยยังคงยึดมั่นที่จะแสดงบทบาทในฐานะ “ผู้เล่นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรือง และการพัฒนา” ตลอดการประชุมในกรอบอาเซียน และการประชุมกับคู่เจรจา

การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 (เต็มคณะและ Retreat)

  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 แบบเต็มคณะ และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมแบบไม่เป็นทางการ (Retreat Session)
  • ผู้นำอาเซียนกล่าวแสดงความเสียใจต่อการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
  • ผู้นำอาเซียนกล่าวต้อนรับติมอร์-เลสเต เข้าร่วมประชุมในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนเป็นครั้งแรก
  • ที่ประชุมมีการหารือเกี่ยวกับทิศทางในการเสริมสร้างประชาคมอาเซียนตามวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ค.ศ. 2045 และแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางดำเนินความสัมพันธ์กับภาคีภายนอก
  • นายกรัฐมนตรีได้

(1) ตอกย้ำการที่อาเซียนเป็นรากฐานสำคัญของนโยบายการต่างประเทศของไทยและความสำคัญของปฏิสัมพันธ์กับภาคีภายนอกอย่างสร้างสรรค์บนพื้นฐานของความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) และการสร้างประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง

(2) ไทยเน้นให้การสนับสนุนการรับมือของอาเซียนต่อความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกผ่านการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุมและยั่งยืน การรวมตัวทางเศรษฐกิจ การผลักดันการบรรลุการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ให้แล้วเสร็จ และการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสีเขียวและทางดิจิทัล พลังงานสะอาด และการเกษตรยั่งยืน

(3) ไทยยังให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ หมอกควันข้ามแดน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และโรคระบาด ซึ่งส่งผลต่อชีวิตประชาชนในภูมิภาคมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

  • ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 อย่างไม่เป็นทางการ ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในเมียนมา และสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ โดยรัฐมนตรีฯ ย้ำการยึดมั่นของไทยต่อแนวทางภูมิภาคนิยมและพหุภาคีนิยม การสนับสนุนความพยายามในการเสริมสร้างสันติภาพในเมียนมา ผ่านการเปิดพื้นที่สำหรับการหารืออย่างครอบคลุมและความจำเป็นในการเพิ่มช่องทางส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่เมียนมา
  • นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำท่าทีไทยที่ให้ความสำคัญกับการก้าวข้ามความขัดแย้งกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี รวมถึงการยึดมั่นต่อข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงผลการพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ที่ลงนามเพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยและความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศต่อไป

การประชุมสุดยอดอาเซียน - สหรัฐฯ ครั้งที่ 13

  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหรัฐฯ ครั้งที่ 13
  • ที่ประชุมย้ำถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ที่มีมายาวนาน หลายประเทศกล่าวชื่นชมบทบาทของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีส่วนช่วยให้เกิดสันติภาพในที่ต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ สถานการณ์ไทย - กัมพูชา และสถานการณ์ในกาซา
  • ที่ประชุมหารือประเด็นที่เป็นผลประโยชน์และให้ความสำคัญร่วมกัน อาทิ (1) การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะออนไลน์สแกมซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้งในและนอกภูมิภาค การค้ามนุษย์ ยาเสพติด และอาชญากรรมไซเบอร์ โดยไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ และหวังว่า สหรัฐฯ จะส่งผู้แทนระดับสูงมาเข้าร่วมด้วย (2) การสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลและการขับเคลื่อนกรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน (DEFA) และ (3) การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน
  • ที่ประชุมได้รับรองแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมผู้นำอาเซียน-สหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมอาเซียนและอเมริกาที่เข้มแข็ง ปลอดภัย และมั่งคั่งยิ่งขึ้น (ASEAN - U.S. Leaders’ Joint Vision Statement to Promote Stronger, Safer, and More Prosperous ASEAN and America)

การประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 28

  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - ญี่ปุ่น ครั้งที่ 28
  • ประชุมได้ทบทวนและกำหนดทิศทางความร่วมมืออาเซียน - ญี่ปุ่นในด้านต่าง ๆ อาทิ เทคโนโลยีดิจิทัล AI พลังงานสะอาด และความเชื่อมโยง รวมถึงการสนับสนุนการดำเนินการตาม ASEAN Outlook on the Indo-Pacific (AOIP)
  • ไทยได้กล่าวถึงการยกระดับความร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะ “trusted partner” ของอาเซียน โดยเฉพาะในด้านการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสีเขียว และการเสริมสร้างความเชื่อมโยงที่ “สมาร์ท - ไร้รอยต่อ - ยั่งยืน” ตลอดจนย้ำความสำคัญของการยกระดับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมา เพื่อนำไปสู่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรองดองและสันติภาพที่ยั่งยืน

การประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 22

  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 22
  • ที่ประชุมทบทวนและหารือทิศทางความร่วมมืออาเซียน - อินเดียภายใต้ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน ทั้งในด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมวัฒนธรรม และความเชื่อมโยง โดยเร่งรัดการสรุปการเจรจาทบทวนความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน - อินเดีย (ASEAN - India Trade in Goods Agreement: AITIGA) อย่างมีนัยสำคัญให้ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด รวมถึงประกาศให้ปี 2569 เป็นปีแห่งความร่วมมือทางทะเลอาเซียน - อินเดีย
  • รัฐมนตรีฯ กล่าวถึงพัฒนาการของความสัมพันธ์อาเซียน – อินเดียที่มีความผูกพันกัน ทั้งทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและมีวิสัยทัศน์ร่วมกันเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรือง ย้ำความสำคัญของความร่วมมือทางทะเลและความเชื่อมโยงในทุกมิติ รวมถึงความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน อาทิ ในสาขาการเปลี่ยนผ่านสีเขียว พลังงานทดแทน เกษตรยั่งยืน และความมั่นคงทางอาหาร อีกทั้งแสดงความหวังว่า การเลือกตั้งในเมียนมาจะเป็นกระบวนการที่ครอบคลุมทุกฝ่ายบนพื้นฐานของการหารืออย่างปรองดอง

การประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26

  • เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 26
  • การประชุมครั้งนี้เป็นการพบปะครั้งแรกระหว่างนายอี แจ-มยอง ประธานาธิบดีเกาหลีใต้กับผู้นำอาเซียน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่อาเซียนและเกาหลีใต้จะกำหนดทิศทางและส่งเสริมความร่วมมือภายใต้การเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership: CSP)
  • นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในนามอาเซียน ในฐานะที่ปีนี้ไทยเป็นประเทศผู้ประสานงานอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน คือ

(1) เสริมสร้างความร่วมมือในการต่อต้านขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งไทยได้แสดงความพร้อมในการเป็นเจ้าภาพการประชุมนานาชาติว่าด้วยการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ได้ตอบรับและแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับอาเซียนในประเด็นนี้

(2) ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ โดยผลักดันการเริ่มเจรจายกระดับ FTA อาเซียน-เกาหลีใต้ในปีหน้า และเร่งรัดการเจรจา Economic Partnership Agreement (EPA) ไทยและเกาหลีใต้ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าห่วงโซ่อุปทานที่แข้มแข็งมากขึ้น

(3) สร้างอนาคตสีเขียวและยั่งยืน โดยไทยในฐานะผู้ประสานงานของอาเซียนด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งสร้างเสริมความร่วมมือกับเกาหลีใต้ภายใต้ข้อริเริ่ม Clean Air for Sustainable ASEAN ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี

  • ในประเด็นระดับภูมิภาค ไทยสนับสนุนความพยายามที่นำไปสู่สันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลีและสนับสนุนข้อริเริ่ม N.D. ของเกาหลีใต้ (Exchange, Normalization, and Denuclearization)

การประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 28

  • เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 28
  • ที่ประชุมได้ทบทวนและกำหนดทิศทางความร่วมมือของกรอบอาเซียนบวกสาม โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการเงิน การเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และความมั่นคงทางอาหาร รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น ทะเลจีนใต้ สถานการณ์ในเมียนมา คาบสมุทรเกาหลี ยูเครน และภูมิภาคตะวันออกกลาง
  • นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางต่อยอดความร่วมมือผ่านแนวคิด “ความมั่นคง 3 ด้าน” ได้แก่

(1) ความมั่นคงด้านการเงิน โดยส่งเสริมการพัฒนากลไกภายใต้กรอบอาเซียนบวกสามให้ตอบสนองต่อความท้าทายในปัจจุบันหรือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น อาทิ ข้อริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี (Chiang Mai Initiative Multilateralization: CMIM)

(2) ความมั่นคงทางดิจิทัล โดยส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การใช้ AI การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาศักยภาพด้านดิจิทัล ควบคู่กับการสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่มั่นคงและปลอดภัย

(3) ความมั่นคงของมนุษย์ ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคในการต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ และส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพของกลไกขององค์กรสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสาม (ASEAN Plus Three Emergency Rice Reserve: APTERR) รวมถึงการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเกษตรที่จะเก็บสำรองไว้

การประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครั้งที่ 5

  • เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผุ้แทนนายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมสุดยอดความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครั้งที่ 5
  • การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมระดับผู้นำครั้งแรกนับตั้งแต่ความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2565 เพื่อหารือแนวทางในการยกระดับการดำเนินการตามพันธกรณีภายใต้ RCEP เพื่อยืนยันความความมุ่งมั่นของประเทศภาคี RCEP ในการรักษาระบบการค้าพหุภาคี
  • ไทยผลักดัน

(1) ยืนยันการสนับสนุนบทบาทของ RCEP รวมทั้งระบบการค้าพหุภาคีที่โปร่งใสและมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน

(2) ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากความตกลง RCEP อย่างเต็มที่ โดยเร่งรัดกระบวนการรับสมาชิกใหม่ เนื่องจากจะทำให้เศรษฐกิจ RCEP ขยายตัวมากขึ้นจากการขยายเครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ [ในชั้นนี้ ชิลี ฮ่องกง ศรีลังกา บังกลาเทศ ได้ขอเข้าร่วม RCEP

(3) เสนอแนะแนวทางผลักดันบทบาทความเป็นผู้นำทางการค้าของ RCEP โดยเตรียมความพร้อมเรื่องการทบทวนความตกลง RCEP ให้ครอบคลุมประเด็นที่สอดคล้องกับแนวโน้มของโลกและความต้องการของภาคธุรกิจ รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย เพื่อให้สามารถเข้าร่วมในห่วงโซ่อุปทานและมีศักยภาพในการรับมือกับความท้าทายปัจจุบันและอนาคต

2. การหารือทวิภาคี

ระดับนายกรัฐมนตรี

  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้หารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ ทั้งสองฝ่ายยินดีต่อความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับสหประชาชาติ โดยเลขาธิการฯ ได้แสดงความพร้อมสนับสนุนบทบาทของไทยในการส่งเสริมความปรองดองในเมียนมา รวมทั้งการแก้ไขปัญหาไทย - กัมพูชาโดยสันติ ตลอดจนชื่นชมบทบาทของไทยในฐานะเจ้าภาพ UN - ESCAP และบทบาทเชิงรุกของไทยในการนำ SDGs มาปรับใช้ในนโยบายภาครัฐและกฎหมายภายใน
  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้หารือกับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะขยายความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและอาเซียน รวมทั้งแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันในโอกาสแรก โดยสาขาความร่วมมือที่มีศักยภาพ ได้แก่ การส่งออกข้าวไทยและสินค้าเกษตรไปยังฟิลิปปินส์ การลงทุนด้านพลังงาน การท่องเที่ยว และความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล โดยไทยได้แสดงความพร้อมสนับสนุนฟิลิปปินส์อย่างเต็มที่ในฐานะประธานอาเซียนในวาระถัดไป
  • เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้หารือกับกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ทั้งสองฝ่ายหารือเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาค โดย IMF แสดงความมั่นใจว่า เศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกได้ ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ยืดหยุ่น และมีกรอบความร่วมมือในภูมิภาคที่ช่วยให้เกิดกลไกการรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ในโอกาสนี้ IMF แสดงความขอบคุณไทยที่จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และกลุ่มธนาคารโลก (World Bank) ในปี 2569 ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพการประชุมดังกล่าว

ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

  • เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 รัฐมนตรีฯ หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (1) การจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อนำความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้านไทย - เวียดนามไปปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม (2) การประสานนโยบายและท่าทีในกรอบความร่วมมือภูมิภาคและอนุภูมิภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ในเดือนธันวาคม 2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นประโยชน์ของการเป็นผู้เล่นสำคัญในกรอบอนุภูมิภาคเพื่อขยายผลไปยังกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อาเซียนและเอเปค และ (3) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยในอาเซียน ไทยลงทุนในเวียดนามมากที่สุดเป็นอันดับที่สองรองจากสิงคโปร์ และเป็นคู่ค้าอันดับต้นของเวียดนาม
  • ทั้งสองฝ่ายแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาค โดยเห็นว่า อาเซียนต้องมีบทบาทที่เข้มแข็งในประเด็นเมียนมา ส่วนในประเด็นสถานการณ์ไทย - กัมพูชา ฝ่ายเวียดนามได้แสดงความยินดีต่อการที่ไทยและกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้

 

สามารถรับฟังการแถลงข่าวย้อนหลังได้ที่ https://youtu.be/Iq3VOVl1rLc

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ