(คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ) คำกราบบังคมทูลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในงานปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11

(คำแปลอย่างไม่เป็นทางการ) คำกราบบังคมทูลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในงานปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11

วันที่นำเข้าข้อมูล 11 ก.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 11 ก.ย. 2568

| 156 view

คำแปลภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการของคำกราบบังคมทูลภาษาอังกฤษ

ของ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ในโอกาส

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี

เสด็จฯ ทรงฟัง ปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร”

เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ครั้งที่ 11

ร่วมจัดโดย กระทรวงการต่างประเทศและสภากาชาดไทย

ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ

วันที่ 18 สิงหาคม 2568

 

*********

 

ขอพระราชทานกราบบังคมทูลทรงทราบฝ่าละอองพระบาท

ข้าพระพุทธเจ้า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในนามของกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นเจ้าภาพร่วมในการจัดงานปาฐกถาครั้งนี้ ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินมาทรงฟังปาฐกถาอันทรงคุณค่านี้ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติใต้ฝ่าละอองพระบาท ในฐานะทรงเป็นอุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย

ในโอกาสนี้ นับเป็นอีกครั้ง ที่พวกเราจะได้ยืนยันถึงพันธกิจร่วมกันว่า แม้ในห้วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของการขัดกันทางอาวุธ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศย่อมต้องถูกธำรงไว้ในห้วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์นี้ เราได้เฉลิมฉลองมรดกสองประการที่ยังคงเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางให้เรายึดมั่นต่อสันติภาพและความเป็นมนุษย์ ประการแรก คือ การครบรอบ 150 ปี แห่งการสถาปนากระทรวงการต่างประเทศของไทย ประการที่สอง คือ การครบรอบ 76 ปี ของอนุสัญญาเจนีวาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง ซึ่งเป็นกรอบกฎหมายที่ดำรงอยู่ยืนยง เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองผู้คนในยามสงคราม และได้รับการธำรงและปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยกลุ่มองค์กรกาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ ซึ่งยึดมั่นในความเป็นกลางและความเป็นอิสระ มรดกแรก สั่งสมสันติภาพผ่านการทูต มรดกที่สอง ปกป้องศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ในยามสงคราม ทั้งสองมรดกหาได้เป็นเพียงอนุสรณ์แห่งอดีตไม่ หากแต่ยังดำรงตนเป็นดั่งผู้พิทักษ์ความสงบเรียบร้อย ในห้วงเวลาที่ภาวะผู้นำซึ่งตั้งมั่นบนหลักการมีคุณค่ายิ่งกว่าที่เคย มรดกเหล่านี้มิได้เพียงสะท้อนให้เราตระหนักว่าเราเป็นใคร หากแต่ยังย้ำเตือนถึงพันธกิจที่เราต้องธำรงรักษาไว้ด้วย

มรดกของกระทรวงการต่างประเทศ คือ ความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย ในทุกบททดสอบแห่งข้อพิพาท ไทยได้เลือกหนทางเดียวกันเสมอมา คือ การเจรจา การสนทนาหารือ และการตกลงกัน ซึ่งเป็นวิถีที่นำไปสู่สันติภาพที่แท้จริง ตลอดหลายชั่วอายุคน กระทรวงฯ ของเราได้เผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ไม่ใช่ด้วยกำลังหากแต่ด้วยการทำงานเพื่อแปรเปลี่ยนความตึงเครียดให้กลายเป็นความเข้าใจ และแปรเปลี่ยนความเป็นปฏิปักษ์ให้กลายเป็นความร่วมมือ สิ่งนี้มิใช่เพียงกลไก หากแต่เป็นความศรัทธาอันแน่วแน่ว่าสันติภาพอันยั่งยืนมิอาจสร้างขึ้นได้ในสมรภูมิรบ แต่ต้องสถาปนาขึ้นที่โต๊ะเจรจา และการทูตก็ย่อมพิสูจน์คุณค่าในตัวเองได้ เมื่อทำให้การใช้อาวุธหมดความจำเป็นไป

ประวัติศาสตร์การเจรจาจัดทำอนุสัญญาเจนีวาเองก็นับเป็นบทเรียนหนึ่งว่า แม้หลังสงครามอันเลวร้ายที่สุด บรรดาประเทศทั้งหลายก็ยังสามารถนั่งลง เจรจา และตกลงกันในกติกาที่ให้ความเป็นมนุษย์มาก่อนสิ่งอื่นใด อนุสัญญามิได้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า ความหวังดี (goodwill) เพียงอย่างเดียว จะยุติสงครามได้หากแต่ตั้งอยู่บนปรัชญาของอนุสัญญาฯ ที่ยอมรับสัจธรรมว่า ลัทธิสันตินิยม (pacifism) แม้จะประเสริฐเพียงใดก็ยังเป็นอุดมคติที่ยากเกินจะเอื้อมถึง จากความจริงนี้เอง ทำให้มนุษยชาติมีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จำต้องวางขอบเขตแห่งการทำสงครามให้ชัดเจน และต้องธำรงความเป็นมนุษย์ไว้ แม้จะอยู่ท่ามกลางการขัดกันทางอาวุธก็ตาม

นี่คือความเป็นจริงเชิงปฏิบัติที่ตั้งอยู่บนหลักการว่า สันติภาพคือเป้าหมาย การยับยั้งชั่งใจในสงครามคือหน้าที่ และความเข้าใจในหลักการเหล่านี้คือเหตุผลที่ไทยได้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในพันธกิจต่อหลักการสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อันประกอบด้วย หลักการแบ่งแยก (distinction) เพื่อคุ้มครองพลเรือน หลักความได้สัดส่วน (proportionality) เพื่อยับยั้งความเสียหายเกินควร หลักการการระมัดระวัง (precaution) เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็น และหลักมนุษยธรรม (humanity) เพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หลักการเหล่านี้มิได้เป็นเพียงถ้อยคำในสนธิสัญญา หากแต่เป็นหลักประกันที่มีชีวิต ที่ยังคงเปิดหนทางไปสู่ความสมานฉันท์

นับตั้งแต่การริเริ่มเมื่อปี 2546 ปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร“ เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ได้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเข้าใจและขับเคลื่อนการดำเนินการตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ งานปาฐกถาในแต่ละครั้งได้รับเกียรติจากผู้มีบทบาทแนวหน้าของการทำงานด้านมนุษยธรรมและกฎหมายเข้าร่วม เช่น องคมนตรี ผู้พิพากษา รัฐมนตรี นักการทูต ข้าราชการอาวุโส เจ้าหน้าที่ทหาร นักวิชาการ ตลอดจนผู้แทนจากองค์การระหว่างประเทศและหน่วยงานของรัฐ

ปาฐกถาครั้งที่ 11 นี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้า นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้ต้อนรับนางมีรยานา สปอลยาริช เอ็กเกอร์ ประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ผู้ซึ่งจะนำพาความสนใจของพวกเราสู่ประเด็นสำคัญเร่งด่วนในหัวข้อ “การธำรงไว้ซึ่งความเป็นมนุษย์ในสงครามร่วมสมัย”

เส้นทางอาชีพอันทรงคุณค่าของประธาน ICRC สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านการทูต กฎหมายระหว่างประเทศ และกิจการด้านมนุษยธรรม จากการทำงานในองค์การสหประชาชาติไปสู่คณะทูตสวิส ท่านได้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายระดับโลกเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตอันซับซ้อนที่สุดในยุคสมัยของเรา วันนี้ ท่านมิได้มาพร้อมกับเกียรติแห่งตำแหน่งหน้าที่เพียงอย่างเดียว หากแต่มาพร้อมด้วยประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติที่ยืนหยัดอยู่แนวหน้ามาอย่างยาวนาน การเยือนไทยครั้งนี้ของท่าน จึงถือเป็นโอกาสอันเหมาะสม ที่เราจะได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์ของท่านมาเสริมสร้างบทบาทของเราในกิจการด้านมนุษยธรรมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

ใต้ฝ่าละอองพระบาท

เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติว่าด้วยกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยมีปลัดกระทรวงการต่างประเทศของเราเป็นประธาน คณะกรรมการนี้จะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตลอดจนช่วยบูรณาการกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่กฎหมายและนโยบายภายในประเทศ กระนั้นก็ตาม คุณค่าที่แท้จริงของคณะกรรมการฯ หาได้อยู่ที่การจัดตั้งขึ้นเท่านั้น หากแต่อยู่ที่การนำไปปฏิบัติจริง ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศจะจัดการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งแรกในเร็ว ๆ นี้ ด้วยการสนับสนุนจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ นี่คือก้าวย่างอันแน่วแน่ เพื่อนำกฎหมายออกจากหน้ากระดาษ
ไปสู่การปฏิบัติจริง ในยามที่การปฏิบัติตามกฎหมายนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด

เมื่อเดือนที่แล้ว ไทยได้เข้าร่วม “ความริเริ่มระดับโลกเพื่อสนับสนุนเจตจำนงทางการเมืองต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ” ของคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ขอแสดงความชื่นชมต่อวิสัยทัศน์ของประธาน ICRC ที่ได้เปิดตัวความริเริ่มนี้ ซึ่งมุ่งเสริมสร้างเจตจำนงทางการเมืองเพื่อการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในระดับโลก ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจที่ได้เข้าร่วมความพยายามในระดับนานาชาตินี้ และเฝ้ารอรายงานของความริเริ่มฯ ที่จะจัดทำขึ้นเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าจะเป็นแนวทางอันทรงคุณค่าแก่รัฐภาคีและผู้ปฏิบัติงานทั้งหลาย

ข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานพระราชานุญาตขอบคุณอย่างจริงใจต่อสภากาชาดไทย สำหรับความร่วมมือในการเป็นเจ้าภาพร่วมของปาฐกถาครั้งนี้ และสำหรับการอุทิศตนเพื่อการปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรมในฐานะองค์กรซึ่งมีบทบาทสมทบให้กับภาครัฐสภากาชาดไทยยังคงเป็นหุ้นส่วนที่ไว้ใจได้ในการขับเคลื่อนกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศในประเทศไทย

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ใต้ฝ่าละอองพระบาทเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นประธานในงานปาฐกถาครั้งนี้อีกวาระหนึ่ง

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ