รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถ้อยแถลงในช่วงการอภิปรายทั่วไปต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๗

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถ้อยแถลงในช่วงการอภิปรายทั่วไปต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ ๗๗

วันที่นำเข้าข้อมูล 27 ก.ย. 2565

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 27 ก.ย. 2565

| 17,981 view

เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๕ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถ้อยแถลงในช่วงการอภิปรายทั่วไปต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ ๗๗ (United Nations General Assembly — UNGA) ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
 
วิกฤตที่ทั่วโลกกำลังเผชิญล้วนเกิดจากการกระทำของมนุษย์ และธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่วิกฤตต่าง ๆ อาทิ วิกฤตด้านอาหาร พลังงาน โรคระบาด ความขัดแย้ง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศย้ำความสำคัญของการที่ประชาคมระหว่างประเทศต้องยึดมั่นในระบบพหุภาคี และร่วมมือกันขับเคลื่อนความร่วมมือในช่วงเวลาสำคัญ ซึ่งสามารถส่งเสริมข้อริเริ่มของเลขาธิการสหประชาชาติที่ระบุไว้ในรายงาน Our Common Agenda
 
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศย้ำความสำคัญของห่วงโซ่อุปทานโลกที่เปิดกว้าง โดยไทยยินดีต่อข้อริเริ่มว่าด้วยการขนส่งธัญพืชในพื้นที่ทะเลดำ (Black Sea Grain Initiative) ของสหประชาชาติที่ช่วยบรรเทาวิกฤตอาหารโลก ขณะเดียวกัน ทั่วโลกต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบสาธารณสุขผ่านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Health Coverage: UHC) และการปฏิรูปโครงการโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมด้านสาธารสุขของประชาคมระหว่างประเทศ (global health architecture) เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องของระบบสุขภาพในปัจจุบัน
 
ในประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงความพร้อมของไทยที่จะจัดการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDCs) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของไทย (Long-term Low Emissions Development Strategy: LT-LEDS) ก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ ๒๗ (COP27) และย้ำว่า ประชาคมระหว่างประเทศต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นต่อระบบพหุภาคี และร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้แก่ประเทศต่าง ๆ และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ในการนี้ ไทยจึงประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council: HRC) วาระปี ค.ศ. ๒๐๒๕-๒๐๒๗
 
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในการรับมือกับวิฤตต่าง ๆ ของโลก ช่วยเร่งความคืบหน้าในการดำเนินงานตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยไทยนำโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ–เศรษฐกิจหมุนเวียน–เศรษฐกิจสีเขียว (BCG) มาเป็นแนวทางในการพัฒนาอย่างสมดุล พร้อมชี้ว่าความร่วมมือในระดับภูมิภาค อาทิ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) จะช่วยสนับสนุน การทำงานของระบบพหุภาคี โดยในปีนี้ ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคภายใต้แนวคิด “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกันสู่สมดุล” (Open. Connect. Balance.)
 
ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้ใช้โอกาสที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในวิกฤตยูเครนจะมาเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศสำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ การประชุมสุดยอดอาเซียน ที่กรุงพนมเปญ การประชุม G20 ที่บาหลี และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่กรุงเทพฯ ได้พบหารือเพื่อทางออกสำหรับวิกฤตยูเครน โดยสหประชาชาติสามารถเข้ามามีส่วนร่วม และเห็นว่า การรับมือกับความท้าทายในปัจจุบัน จะต้องดำเนินไปด้วยความมีสติและมีมุมมองเชิงบวก เพื่อให้ทุกประเทศสามารถรอดพ้นจากภัยคุกคาม และนำมาซึ่งความสงบสุขและสันติสุขแก่มวลมนุษยชาติ

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ