คำกล่าวสำหรับนายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายฌอง-มาร์ค เอโรต์ (Jean-Marc Ayrault) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส

คำกล่าวสำหรับนายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับนายฌอง-มาร์ค เอโรต์ (Jean-Marc Ayrault) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส

วันที่นำเข้าข้อมูล 6 ก.พ. 2556

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 30 พ.ย. 2565

| 5,158 view

คำกล่าวสำหรับนายกรัฐมนตรี
ในการแถลงข่าวร่วมกับนายฌอง-มาร์ค เอโรต์ (Jean-Marc Ayrault) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐฝรั่งเศส
วันอังคารที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล


สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนทั้งชาวไทย และต่างประเทศ

ในนามของรัฐบาลไทย ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรี ฌอง-มาร์ค เอโรต์ ในการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการตามคำเชิญของดิฉัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศไทยและฝรั่งเศส ซึ่งท่านนับเป็นนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสคนแรกที่มาเยือนไทยอย่างเป็นทางการในรอบ ๒๓ ปี ดิฉันจึงรู้สึกยินดีเป็นพิเศษที่ได้ต้อนรับคณะของท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ที่ประกอบด้วยรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา รวมทั้งผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำหลายราย ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้ถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง

ดิฉันได้เคยพบหารือกับท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ในโอกาสเดินทางเยือนฝรั่งเศสเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา การพบกันอีกครั้งในช่วงระยะห่างเพียง ๖ เดือนในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงพลวัตของการเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และมิตรภาพที่แนบแน่น” ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่าง ๒ ประเทศเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการสร้างงานในทั้ง ๒ ประเทศ นอกจากนี้ ไทยและฝรั่งเศสต่างเป็นประเทศสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรปตามลำดับ อีกทั้งมีส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรปและพัฒนากรอบการประชุมเอเชีย-ยุโรป ดังนั้น หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจะช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ภูมิภาคอีกด้วย

ในช่วง ๖ เดือนที่ผ่านมา ดิฉันยินดีที่มีความคืบหน้าในความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในหลายเรื่อง โดยเฉพาะด้านการลงทุนที่มีเพิ่มขึ้น ทั้งโดยนักลงทุนฝรั่งเศสในไทยและโดยนักลงทุนไทยในฝรั่งเศส โดยมีบริษัทมิชลินของฝรั่งเศสได้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติม มูลค่ารวมกว่า ๘๗ ล้านยูโร (๓,๕๐๐ ล้านบาท) และทราบมาว่าเมื่อวานนี้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและกิจการค้าร่วมซึ่งมีบริษัทอัลสตอมอยู่ด้วย ได้ร่วมลงนามสัญญาซื้อและจ้างก่อสร้างโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ ๒ ขนาดกำลังผลิต ๘๕๐ เมกะวัตต์ นอกจากนี้ บริษัทด็บเบิ้ลเอของไทยก็ได้เข้าไปซื้อโรงงานผลิตกระดาษในฝรั่งเศสในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดการสร้างงานใน ๒ ประเทศ และที่สำคัญสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่นักลงทุนทั้งสองฝ่ายมีต่อกัน ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับสิ่งท้าทายมากมาย

ดิฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งที่การเยือนในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม โดยมีการลงนามในความตกลงถึง ๕ ฉบับ ซึ่งครอบคลุมความร่วมมือในหลายด้าน ทั้งการศึกษาและการวิจัย สาธารณสุข และความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของไทยและฝรั่งเศส  การลงนามในความตกลงด้านการป้องกันประเทศระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิเคราะห์ยุทธศาสตร์ การวิจัยและพัฒนาการทหาร ระหว่าง ๒ ฝ่ายซึ่งจะช่วยส่งเสริมหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่าง ๒ ประเทศ เช่นเดียวกับ MOU ด้านการวิจัยที่จะเน้นในส่วนของการเกษตรเพื่อการพัฒนา ก็จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมการเกษตร การผลิตและแปรรูปอาหาร การควบคุมโรคในสัตว์ และชีวพลังงานเป็นต้น

ในการหารือในวันนี้ ดิฉันและท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ ได้แลกเปลี่ยนความเห็นในหลากหลายประเด็นในประเด็นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจนั้น ดิฉันได้เน้นย้ำกับท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ ถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและความพร้อมของไทย ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ขณะนี้ ไทยมีหลายโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและของภูมิภาคอาเซียนและส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาคจากเอเซียใต้สู่เอเชียตะวันออกโดยผ่านลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งในการนี้ ดิฉันได้เชิญชวนฝ่ายฝรั่งเศสให้ส่งเสริมบริษัทที่สนใจพิจารณา เข้าร่วมการประมูลที่โปร่งใส โดยฝ่ายไทยจะให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลัก นอกจากนี้  ดิฉันได้แจ้งว่าไทยยังมีแผนที่จะตั้งนิคมอุตสาหกรรมอากาศยานและศูนย์ซ่อมอากาศยานให้เป็นรูปธรรม ซึ่งรวม cluster อุตสาหกรรมอากาศยานตั้งแต่การผลิต การซ่อมบำรุง  และการบริการ  นอกจากนี้ ทั้ง ๒ ฝ่ายยังเห็นความสำคัญของการผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป
 
ในส่วนของสถานการณ์ในภูมิภาคนั้น ดิฉันและท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ ได้หารือกันในหลายเรื่องโดยเฉพาะพัฒนาการในประชาคมอาเซียน สิ่งท้าทายที่อาจส่งผลกระทบต่อสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาค และความจำเป็นที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อรักษาบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชากรในภูมิภาคต่อไป ในเรื่องนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ก็เห็นพ้องกับดิฉันถึงบทบาทนำของอาเซียนในการรักษาบรรยากาศดังกล่าว ในส่วนของยุโรปนั้น ดิฉันได้ชื่นชมพัฒนาการในสหภาพยุโรปซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าในการแก้ไขความท้าทายด้านการเงินและย้ำว่ายุโรปเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจโลกเสมออีกทั้งเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของอาเซียนและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

สุดท้ายนี้ ขอย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไทยยินดีต่อการเยือนของท่านนายกรัฐมนตรีเอโรต์ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการเยือนที่มีความสำคัญยิ่ง เป็นการยืนยันว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและฝรั่งเศสได้พัฒนาจากพื้นฐานของสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า ๓๐๐ ปี กลายเป็นความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ที่มีค่านิยมและผลประโยชน์ร่วมในด้านต่าง ๆ และจะพัฒนาสืบต่อยิ่งขึ้นไปในทุกมิติ และทุกระดับตามเจตนารมณ์ที่มีร่วมกันของทั้งสองประเทศ