เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ นายวิทวัส ศรีวิหค รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธานในพิธีเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดเชียงไล่ ตำบลต่าลั่ว อำเภอเหมิงห่าย เขตปกครองตนเองชนชาติไทลื้อสิบสองพันนา มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีบุคคลสำคัญของฝ่ายไทย ได้แก่ นายสุชาติ เลียงแสงทอง กงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง พ.ต.อ. ปนิธาน สันติเพ็ชร์ กงสุล (ฝ่ายตำรวจ) ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง และฝ่ายจีน ได้แก่ นายลวี่ หย่งเหอ รองผู้ว่าการเขตฯ สิบสองพันนา นายอ้าย ยิ่ง รองเลขาธิการสำนักงานรัฐบาลเขตฯ สิบสองพันนา นายอ้าย เจิน อธิบดีสำนักงานการต่างประเทศเขตฯ สิบสองพันนา นายอ้าย เหมิ่ง รองอธิบดีกรมศาสนาเขตฯ สิบสองพันนา และนายคัง หนานเปี่ยน เลขาธิการพุทธสมาคมเขตฯ สิบสองพันนา ตลอดจนพุทธศาสนิกชนชาวไทยชาวจีน และชาวไทลื้อเข้าร่วมในพิธีรวมประมาณ ๕,๐๐๐ คน
การเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดเชียงไล่ ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง พิธีการดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยสมพระเกียรติ ผู้เข้าร่วมงานต่างแสดงความปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสนี้ สถานกงสุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง ได้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๘๙ รูป เข้าร่วมพิธี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๘ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๘ ทั้งนี้ สามารถรวบรวมเงินบริจาค ซึ่งประกอบด้วยเงินพระราชทานบำรุงพระอารามจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เงินโดยเสด็จพระราชกุศลจากกระทรวงการต่างประเทศ และเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๙๖,๘๑๒ บาท
กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญผ้าพระกฐินพระราชทานไปทอดถวาย ณ วัดพระพุทธศาสนาในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๓๙ และได้ดำเนินโครงการฯ มาแล้ว รวมทั้งสิ้น ๑๕ ครั้ง โดยนับตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ เป็นต้นมา ได้ดำเนินโครงการฯ ต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยแต่ละครั้งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นประดุจพี่น้องจากชาวไทลื้อในพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับชาวไทยทางภาคเหนือ นับเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานการทูตวัฒนธรรมซึ่งจะนำไปสู่การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านอื่น ๆ ต่อไป ตลอดจนเป็นการกระชับความสัมพันธ์ในระดับประชาชนสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทยในหมู่ประชาชนชาวจีนและชาวไทลื้อ โดยในปีนี้ เป็นครั้งแรกที่วัดเชียงไล่ได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วัดดังกล่าวมีความสำคัญเพราะเป็นวัดพุทธเถรวาทที่เก่าแก่กว่า ๑,๓๗๐ ปี และเป็นศูนย์ศึกษาวัฒนธรรมชนชาติไทลื้อ