เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2568 ไทยและอินโดนีเซียได้ประกาศยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์และเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันในด้านต่าง ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายปราโบโว ซูบียันโต ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามคำเชิญจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเปิดศักราชใหม่ของมิตรภาพอันยาวนานและตรงกับโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - อินโดนีเซียในปีนี้
ในโอกาสการเยือนครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต
ผู้นำไทยและอินโดนีเซียได้เป็นประธานร่วมในการหารือระดับผู้นำ (Leaders’ Consultation) ครั้งแรก ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเป็นกลไกหารือใหม่ เพื่อส่งเสริมให้มีการหารือระดับผู้นำอย่างสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองทัพและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยกับอินโดนีเซีย เพื่อรับมือกับภัยคุกคามร่วมกันด้านความมั่นคงและปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการค้ายาเสพติดและการหลอกลวงออนไลน์ ตลอดจนจะส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
ผู้นำของทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะเพิ่มปริมาณการค้าระหว่างกันมากขึ้น โดยคำนึงถึงขนาดเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายและการเชื่อมโยงระหว่างกัน ดังนั้น ผู้นำของทั้งสองฝ่ายจึงยินดีที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Commission) ครั้งที่ 1 ภายในปีนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกัน โดยเมื่อปี 2567 การค้าระหว่างไทยกับอินโดนีเซียมีมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ผู้นำของทั้งสองประเทศสนับสนุนให้มีการลงทุนระหว่างกันมากยิ่งขึ้น และขยายความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหาร การประมง อุตสาหกรรมฮาลาล ความมั่นคงพลังงาน เศรษฐกิจสีเขียว การศึกษา และสาธารณสุข
ผู้นำทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะเพิ่มความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเรือสำราญและเรือยอร์ช การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ MICE รวมทั้งยินดีต่อการเปิดเที่ยวบินเพิ่มระหว่าง กรุงเทพฯ เมืองเมดาน กับเมืองสุราบายา และระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับเมืองเมดานในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะส่งเสริมการท่องเที่ยวและการทำธุรกิจระหว่างทั้งสองประเทศ
ในฐานะประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนและสองประเทศมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ไทยและอินโดนีเซียมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความเป็นแกนกลางของอาเซียน และจะร่วมมือในการผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มความเข้มแข็งให้กับภูมิภาคท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำถึงบทบาทนำของอาเซียนในการช่วยนำสันติภาพกลับคืนสู่เมียนมา
ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงสาธารณสุขของสาธารณรัฐอินโดนีเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขภาพ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีอินโดนีเซียและคณะผู้แทนด้วย