สรุปการแถลงข่าวประจำสัปดาห์
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
วันที่ 19 พฤศจิกายน 2568 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องแถลงข่าว และทาง Facebook/TIKTOK/Youtube LIVE กระทรวงการต่างประเทศ
- พัฒนาการล่าสุด สถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา
1.1 การลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน
- เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team: AOT) ลงพื้นที่ห้วยตามาเรีย จังหวัดศรีสะเกษ และบ้านหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว และขณะนี้ ยังคงปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสะท้อนความจริงใจและท่าทีที่เปิดเผยและโปร่งใสของฝ่ายไทย
- เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT ลงพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่สัตตะโสม จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและการตรวจพบทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่ และลงพื้นที่ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อตรวจสอบจุดที่พบทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการหยอดกาวเพื่อขัดขวางการถอนสลักทุ่นระเบิด ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน
- เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 คณะ AOT ลงพื้นที่ปราสาทคนา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดและการละเมิดข้อตกลงต่าง ๆ ของฝ่ายกัมพูชา
1.2 การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชา
- ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ข่าวปลอมกล่าวหาว่า ไทยวางทุ่นระเบิดเองและเหยียบเอง และไทยเปิดฉากยิงโจมตีที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว โดยฝ่ายกัมพูชายังได้นำภาพศพชาวกัมพูชาที่เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวไปแอบอ้างว่าเป็นศพเชลยศึกกัมพูชาที่อยู่ในไทย
- กัมพูชาใช้สงครามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง โดยเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนอย่างเป็นระบบ
- ตัวอย่างข่าวปลอมจากฝ่ายกัมพูชาอีก 2 เรื่อง ได้แก่
(1) การกล่าวหาว่า เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ทหารไทยกำลังเตรียมการโจมตีพื้นที่ทมอดา และโอพลุกด็อมเร็ย ในจังหวัดโพธิ์สัต ซึ่งกองทัพเรือชี้แจงทันทีว่า ไม่เป็นความจริงและไม่มีเหตุการณ์ปะทะใด ๆ เกิดขึ้น และ
(2) การกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ไทยทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายสตรีชาวกัมพูชาที่จังหวัดจันทบุรี ซึ่งจากการตรวจสอบกับทุกหน่วยงาน ยืนยันว่า ไม่พบเหตุการณ์ตามที่ถูกกล่าวหาและไม่มีหน่วยทหารไทยใดมีพฤติกรรมตามที่สื่อและหน่วยงานรัฐของกัมพูชากล่าวอ้าง ในกรณีนี้ ฝ่ายไทยประณามการกล่าวหาดังกล่าวของกัมพูชาที่ไร้หลักฐานรองรับและมีจุดประสงค์เพียงเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของไทยในสายตานานาประเทศ
- การปฏิบัติการต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ไทยเป็นไปตามกฎหมายไทย หลักสิทธิมนุษยชน และหลักสากลต่าง ๆ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่มีการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีหรือเข้ามาทำงานผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ไทยให้ที่พักพิง ดูแลความปลอดภัย และจัดอาหารให้ครบทุกมื้อก่อนดำเนินการตามขั้นตอนส่งกลับประเทศอย่างเป็นระบบ และมีหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมภารกิจอย่างมีเอกภาพและโปร่งใส
- การดำเนินการของไทยมีแนวปฏิบัติที่มีมาตรฐาน (Standard Operating Procedure: SOP) ชัดเจน และบริหารจัดการกับผู้หลบหนีเข้าเมืองเป็นกลุ่ม โดยไม่มีการให้อยู่ลำพัง ทำให้มีสักขีพยานตลอดกระบวนการดูแลผู้หลบหนีเข้าเมือง
- ประเทศไทยเคารพและยึดมั่นในกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักมนุษยธรรม โดยเป็นภาคีตราสารด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่สำคัญ 8 ฉบับจากทั้งหมด 9 ฉบับ และให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ผู้หนีภัยการสู้รบจากประเทศเพื่อนบ้านมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาคมระหว่างประเทศ โดยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติถึงสองวาระ (วาระปี ค.ศ. 2010 - 2013 และ ค.ศ. 2025 - 2027)
- การปฏิบัติตามพันธกรณีและคำมั่นด้านสิทธิมนุษยชนของไทยได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดจากหลายกลไก ทั้งจากภาครัฐ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ ของไทยเป็นองค์กรอิสระอย่างแท้จริง และองค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นอิสระและเข้มแข็ง ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงไม่ให้คุณค่ากับข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลและมีเจตนาร้าย
1.3 การประสานงานระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
- หลังจากการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กับนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 นายกรัฐมนตรีส่งหนังสืออีกหนึ่งฉบับถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เพื่อย้ำถึงการละเมิดถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) ของกัมพูชา รวมทั้งขอให้กัมพูชาไม่ขัดขวางปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทย และแสดงความจริงใจที่จะปฏิบัติตาม Joint Declaration และกลับสู่เส้นทางแห่งสันติภาพร่วมกับไทย
- ประเทศไทยยืนยันท่าทีเดิมว่า ประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา และประเด็นการเจรจาการค้าไทย - สหรัฐฯ เป็นสองประเด็นที่แยกจากกัน โดยที่ประเด็นแรกเป็นเรื่องความมั่นคง ส่วนประเด็นหลังเป็นเรื่องการค้าทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงไม่เห็นด้วยกับการผูกสองเรื่องนี้ไว้ด้วยกัน และยินดีกับบทบาทสร้างสรรค์ของสหรัฐฯ ที่จะผลักดันให้กัมพูชา ซ่งเป็นฝ่ายละเมิด Joint Declaration กลับมาปฏิบัติตาม JD อย่างเคร่งครัด
- หน่วยงานไทยทุกหน่วยงานจะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยในทุกมิติ
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าร่วมการประชุม EU Indo-Pacific Ministerial Forum (IPMF) ครั้งที่ 4
- ระหว่างวันที่ 20 - 21 พฤศจิกายน 2568 นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม EU Indo-Pacific Ministerial Forum (IPMF) ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดยสหภาพยุโรป ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ซึ่งคาดว่า จะมีผู้แทนประมาณ 70 ประเทศเข้าร่วม
- การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “การสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่น มั่งคั่ง และมั่นคง ร่วมกัน” (Building together a resilient, prosperous and secure future) มีเป้าหมายให้ประเทศที่เข้าร่วมมาแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับวิธีการเสริมสร้างความร่วมมือและกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปและภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์โลก
- รัฐมนตรีฯ จะแสดงวิสัยทัศน์และท่าทีไทยผ่านการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมโต๊ะกลมของ IPMF ด้านความมั่นคง ในหัวข้อ “Security Priorities in the Face of Current Geopolitical Developments” ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยควรจัดลำดับความสำคัญต้น ๆ เพื่อรับมือกับพัฒนาการด้านภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน ทั้งยังจะเป็นผู้แทนประเทศจากภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก กล่าวสุนทรพจน์หลัก (Keynote Speech) ในช่วงปิดการประชุมเต็มคณะ (Closing Plenary)
- นอกจากนี้ รัฐมนตรีฯ มีกำหนดพบหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมถึงผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปด้านการต่างประเทศและนโยบายด้านความมั่นคง รวมกว่า 8 ประเทศ
- การเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของไทยในการเสริมสร้างเสาหลักความร่วมมืออินโด-แปซิฟิกของสหภาพยุโรป และจะเป็นโอกาสในการผลักดันผลประโยชน์ร่วมกันของไทยกับภูมิภาคในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ การพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งรวมถึงการหลอกลวงออนไลน์ ทั้งยังเป็นโอกาสในการชี้แจงข้อเท็จจริงและท่าทีไทยในประเด็นเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย - กัมพูชากับนานาประเทศด้วย
- การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (online scams)
- รัฐบาลไทยประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมถึงออนไลน์สแกม เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
- ไทยลงนามใน MoU ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างหน่วยงานภาครัฐและองค์กรทางการเงินรวม 15 หน่วยงาน (รวมกระทรวงการต่างประเทศด้วย) ซึ่งย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่จะขจัดอาชญากรรมเหล่านี้ให้หมดไป
- ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียนและการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนำเสนอข้อริเริ่มของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศเรื่องการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (online scams) ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากหลายประเทศ เนื่องจากเห็นว่า ออนไลน์สแกมเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบไม่เพียงแค่ระดับภูมิภาค แต่ประชาชนจากทั่วโลกกำลังได้รับความเดือดร้อน ซึ่งบางคนได้สูญเสียทรัพย์สินเงินออมจำนวนมาก
- เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 กระทรวงการต่างประเทศจัดการบรรยายสรุปให้แก่คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย เกี่ยวกับการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 17 - 18 ธันวาคม 2568 ที่กรุงเทพฯ โดยมีนายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เป็นผู้นำการบรรยาย
- ประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตมีวัตถุประสงค์สำคัญ 2 ประการ ได้แก่ (1) สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อต่อต้านออนไลน์สแกม และ (2) ส่งเสริมการทำงานที่สอดประสานกันมากขึ้นในการป้องกัน สอบสวน และขจัดการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมทั้งการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย ตลอดจนการให้ความช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับทำงานให้กับขบวนการผิดกฎหมายดังกล่าว
- การประชุมดังกล่าวจะเสริมความพยายามของหน่วยงานไทยในเรื่องนี้ด้วย อาทิ การประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมและออนไลน์ระหว่าง 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่นครคุนหมิง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งมีผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วม โดยที่ประชุมดังกล่าวเห็นควรเสริมสร้างความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ การแลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน การส่งผู้ร้ายข้ามแดน และการแบ่งปันข่าวกรอง
สามารถรับชมย้อนหลังได้ที่ https://fb.watch/DtbBJxzpT8/?